วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ขนหัวลุกเจ้าของเขาหวง


"ลักษมณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีบ้านผีเรือน

บ้านดิฉันมีผีค่ะ! เป็นผีที่ดุและเฮี้ยนมากที่สุดเลยด้วย!!

ดิฉันอยู่บ้านนี้มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่อายุได้สามขวบแน่ะค่ะ พ่อแม่ท่านสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจริงๆ ราวยี่สิบปีก่อน คุณพ่อแปลงโฉนดเป็นสองแปลงให้ดิฉันกับพี่ชายคนละครึ่ง ท่านอยากให้เราอยู่รวมกันในบ้านนี้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่

ตอนที่เรายังเด็ก เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่พอพี่ชายแต่งงานเมื่อสิบปีที่แล้วสิ่งที่เคยง่ายก็กลายเป็นยากขึ้นมาทันที!

พี่สะใภ้ของดิฉันยึดว่าสมบัติของสามีคือสมบัติของเธอด้วย เธอวาดโครงการไว้ว่าจะขายที่ดินที่เป็นส่วนของพี่ชายดิฉัน สาเหตุเพราะเธอจงเกลียดจงชังบ้านหลังนี้มากนั่นเอง

คนเรานี่ก็แปลกนะคะ เมื่อก่อนตอนเป็นแฟนกับพี่ชายดิฉัน พวกเรารักเธอผู้นี้ไม่น้อยด้วยความที่เธออ่อนหวาน เรียบร้อย จะมีข้อเสียตรงที่เธอขี้น้อยใจ เช่น เราพูดเล่นพูดแซวกันเธอก็จะหัวเราะไปกับเรา แต่พอลับหลังเธอไปร้องห่มร้องไห้ คิดมากกับคำพูดนั้นๆ พี่ชายต้องปลอบแทบแย่ แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง...ตอนหลังๆ เราเลยไม่กล้าพูดเล่นกับเธออีกต่อไป!

พอแต่งงานแล้วเธอก็มาอยู่ที่บ้านนี้กับเราค่ะ ดูๆ เธอก็มีความสุขดี แต่มันฝืนๆ ยังไงพิกล เราพอจะดูออกว่าเธอไม่ค่อยมีความสุขนัก ดูเธอเครียดๆ ทุกอย่างระหว่างพวกเรากับเธอ มันผิดไปจากก่อนที่เธอจะมาเป็นสะใภ้

วันหนึ่ง หลังจากแต่งงานได้แค่สองสามวัน ยังไม่ทันฮันนีมูนเลย เธอก็ขอย้ายห้องนอนด้วยเหตุผลที่ว่า...เธอถูกผีหลอก!

เกือบทุกครั้งที่เข้านอน เธอเล่าว่าจะมีกลุ่มคนเกือบสิบคน ล้วนเป็นคนแก่ทั้งหญิงและชาย มายืนล้อมเตียง แล้วก้มลงมองเธออย่างโกรธเคืองจนเธอกลัวมาก

เราฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า คนแก่เหล่านั้นจะเป็นใครไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่วิญญาณปู่ย่าตายายของเรา ซึ่งท่านยังปกป้องคุ้มครองเราอยู่ในบ้านนี้...อาจจะมีเจ้าที่เจ้าทางและผีบ้านผีเรือนด้วยก็ได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมพวกท่านไม่ต้อนรับสะใภ้ใหม่ กลับมาทำให้เจ้าหล่อนกลัวแทบตายแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม พี่สะใภ้ก็ทนอยู่จนกระทั่งตั้งครรภ์ และได้ลูกสาวคนแรก เธอไม่ยอมเลี้ยงลูกเอง ต้องให้คุณแม่ดิฉันจ้างคนเลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลตั้งแต่ยายหนูยังแบเบาะ ส่วนพี่สะใภ้ก็แต่งตัวสวยออกไปทำงานและกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ซึ่งพวกเราไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ขุ่น เคือง เธอเองซะอีกที่ดูอึดอัดใจ จนในที่สุดก็ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอ

เวลาล่วงเลยไปหลายปี จนกระทั่งเราเริ่มรู้ว่าเธออยากขายที่ดินส่วนที่เป็นของพี่ชายเพื่อจะได้เงินก้อนโต แต่ติดอยู่ตรงที่พ่อแม่เรายังมีชีวิตอยู่ เรารู้เพราะพี่ชายดิฉันมาปรับทุกข์ให้ฟังว่าเธอข่มขู่ ออดอ้อนสารพัดว่าเธอไม่มีความมั่นคงในชีวิต ถ้าขายบ้านได้เงินละก็ เงินก้อนนี้เธอจะเอาเก็บไว้ให้ลูก

เมื่อวันแม่ที่ผ่านมานี้ เธอมากราบคุณแม่ดิฉันพร้อมกับสามีและลูกสาว แล้วอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน

ค่ำแล้ว เธอเตรียมตัวจะกลับ แต่ก่อนกลับก็ขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย

ไม่ถึงห้านาที เราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวมาก เรากรูกันไปยังหน้าห้องน้ำที่เป็นต้นเสียง...พี่สะใภ้ดิฉันร้องกรี๊ดๆ อย่างคนเสียสติ ไม่ยอมเปิดประตู จนคุณแม่ดิฉันต้องไปหยิบกุญแจมาไขเข้าไป และพบว่าเธอนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง เอามือปิดหน้าปิดตา ตัวสั่นด้วยความกลัวสุดขีด

หลังจากปลอบโยนกันอยู่นานมาก เธอก็เล่าว่าขณะที่ล้างไม้ล้างมือและส่องกระจกนั้น ภาพเธอในกระจกค่อยๆ เปลี่ยนไป...หน้าเขียวและเหี่ยวย่นลงจนดูเหมือนคนแก่ชัดๆ

ตอนแรกนึกว่าตาฝาด แต่ขณะกำลังสงสัย เงานั้นก็โผล่พรวดออกมาจากกระจกจนเธอผงะ ถอยหลังกรูด หงายหลังล้มลงตรงมุมห้อง วินาทีนั้นเอง ไฟในห้องน้ำก็ปิดๆ เปิดๆ แล้วก็ดับมืดไปเลย จนมีเสียงไขกุญแจ ไฟก็สว่างตามเดิม

พวกเราไม่เห็นมีสิ่งใดในห้องน้ำผิดปกติไปเลยสักนิดเดียว แต่ดิฉันเชื่อในสิ่งที่เธอเล่าค่ะ...เชื่อว่าผีปู่ย่าตายาย หรือผีบ้านผีเรือนคงเกลียดชังเธอมากๆ

เกลียดเพราะเธอคิดไม่ดีกับเรา!

เกลียดเพราะเธอจะขายบ้านขายที่ดินนี้!!

พี่สะใภ้พูดกับดิฉันในภายหลังว่า อย่าอยู่ที่นี่เลย ผีดุเหลือเกิน! เธอถามว่าไม่กลัวผีรึไง? ดิฉันบอกเธอว่าไม่กลัว กลับรู้สึกอุ่นใจด้วยซ้ำ! เธอค้อนดิฉันอย่างเคืองขุ่น ดิฉันไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวไหมว่าผีเกลียดเธอเพราะอะไร?

แต่ดิฉันมั่นใจว่าตราบใดที่เธอยังคิดจะทำลายบ้านนี้ ผีที่น่าสยดสยองก็จะตามหลอกตามหลอนเธอต่อไปไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น