วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ขึ้นจากคลอง


"ต้อยติ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองจั่น

เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ดิฉันเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนชื่อต้อย ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกัน เคยได้ยินแม่ค้าแถวนั้นเล่าว่าหอพักผีดุ เพราะมีหนุ่มสาวฆ่าตัวตายหลายคนแล้ว ไม่รู้ว่าจะหลอกให้เรากลัวผีหรือเปล่า?

เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้นั้น ดิฉันรู้สึกเฉยๆ ค่ะ จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ กลัวหรือไม่กลัวก็ยังพูดไม่ได้เต็มปาก...ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน! วันๆ ก็มีปัญหาของตัวเองยุ่งยากพออยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายที่ทางบ้านส่งมาให้เดือนละครั้ง บางทียังมีปัญหากับเพื่อนฝูงอีกต่างหาก...

ไม่มีเวลาเทกแคร์ผีนะคะ ขอบอก!

อยู่หอมาตั้งหลายเดือนก็ยังไม่เคยถูกผีหลอกซักที ต้อยก็เหมือนกัน เธอพูดขำๆ ว่า...ผีคงไม่อยากยุ่งกับเราหรอก เพราะรู้ว่าเราไม่กลัวมัน ขืนมาหลอกแล้วเราทำเฉยๆ ผีมันก็กลัวหน้าแหก หมอไม่รับเย็บเป็นเหมือนกัน

ในที่สุดก็เจอเรื่องสยองขวัญเข้าจนได้! แต่ไม่ใช่เจอในหอพักนะคะ ดิฉันขอเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกดังนี้ค่ะ

ที่แฟลตคลองจั่นใกล้ๆ กับหอพักเรา มีตลาดนัดคืนวันพฤหัสฯ กับวันอาทิตย์ พ่อค้าแม่ขายเขามากันตั้งแต่ตอนเย็นแล้วค่ะ พอใกล้ค่ำก็มีลูกค้าหนาตาขึ้นทุกที เลือกซื้อหาของกินของใช้เยอะแยะ ไม่ว่าปลาเผา หมูปิ้ง เนื้อเค็มกับข้าวเหนียว ลาบส้มตำ โรตี ขนมใส่น้ำแข็ง ผลไม้พวกกล้วยหอมกล้วยไข่ ส้มและมังคุด หอยแครงกับหอยแมลงภู่ลวก หัวหมูลวกจิ้มพริกน้ำส้ม น้ำพริกผักต่างๆ ทั้งสดและแห้งดูลานตาไปหมด

เสื้อผ้าถูกๆ มีทั้งใหม่และมือสอง เครื่องใช้ในครัว เครื่องสำอางราคาย่อมเยา...ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอมกันแน่?

สบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน แป้งทาตัว น้ำอบน้ำหอม ยาแก้สิวฝ้า ไวท์เท็นนิ่ง ยาแก้เบาหวาน ยาชักมดลูก แก้โรคกษัยไตพิการ ยาลดความอ้วน ยาเจริญอาหาร...สมุนไพรดองเหล้า พวกโด่ไม่รู้ล้ม พญาเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรง ที่เชื่อว่าเป็นยาโป๊ววางขายแบกะดินก็มีค่ะ

ขนาดวิทยุ ไฟฉาย หวี ซองมือถือ หนังสือการ์ตูน...ซีดีทั้งหนังและเพลงก็ยังมี!

แหม! บอกกล่าวยืดยาวไปหน่อย แต่อยากให้เห็นภาพน่ะค่ะว่ามีของขายมากมายจริงๆ เรามักจะไปตลาดนัดตอนค่ำวันอาทิตย์ พวกสาวๆ นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อเกาะอกก็มาเดินโชว์โฉมไม่ใช่น้อย แต่ดิฉันกับต้อยนุ่งยีนส์สวมเสื้อยืดหลวมๆ จะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาใคร

ออกจากหอก่อนถึงตลาดนัด มีสะพานข้ามคลองที่เรือขุดลอกมักจะทำงานล่วงเวลา บางวันก็มีเด็กๆ เกาะราวสะพานหยุดดูเรือขุดลุกคลองทำงาน...เราซื้อของที่ตั้งใจไว้ก่อน ไม่ต้องเสียเวลาเดินดูนั่นดูนี่ เมื่อได้ของที่ต้องการก็กลับได้เลย

ค่ำวันอาทิตย์หนึ่งก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

ขณะที่เราจะเดินข้ามสะพานนั่นเอง นอกจากเด็กๆ ที่วิ่งไปมาแล้ว ดิฉันเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนอนสีเหลืองยืนมองเหม่อไปที่เรือขุด ลมหนาวค่อนข้างแรงจนผมเผ้ากับชายผ้าปลิวไสว...แนบเนื้อน่าใจหายใจคว่ำ

เมื่อก้าวขึ้นสะพานก็ได้ยินเสียงเฮๆ ดังมาจากเรือขุดนั้น หันไปมองก็เห็นคนงานหนุ่มๆ กำลังจ้องมอง โบกไม้โบกมือมาที่ราวสะพาน เชื่อว่าเขาคงเห็นภาพชุดนอนบางๆ แนบเนื้อของเธอผู้นั้นเป็นแน่ เลยเฮฮากันตามประสาผู้ชาย...ว่าแต่เธอแต่งตัวโป๊ๆ ออกมาโชว์ทำไมก็ไม่รู้...ต้อยบอกเสียงดุๆ ว่า อย่ามองๆ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราสนใจ...

ดิฉันหันกลับ...แต่ไม่ปรากฏร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีเหลืองนั่นแล้วค่ะ!

เอ...หายไปไหนเร็วจริง? ถามต้อยว่าเห็นหรือเปล่า เธอกลับย้อนถามว่าเห็นใคร? เล่นเอาดิฉันชักงง จะว่าตาฝาดก็ไม่ใช่แน่เพราะมองอยู่ตั้งนาน ขนาดเห็นผมเผ้ากับชุดนอนปลิวไสวก็แล้วกัน! จนกระทั่งลงสะพานจะเลี้ยวเข้าตลาดนัด...

ไม่ทราบว่ามีอะไรดลใจให้ดิฉันหันไปมองบนสะพานอีกครั้ง...คุณพระช่วย! ผู้หญิงคนนั้นกำลังหันมามองช้าๆ จนนัยน์ตาเราสบกัน...แล้วเธอก็เผยอยิ้มทีละนิดๆ จนเหยียดกว้างเต็มหน้า...

ม่านตาดิฉันพร่าพราย โลกทั้งโลกหมุนคว้าง สมองเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เท้าหลุดพื้นขณะร้องกรี๊ด...ต้อยหันมาคว้าแขนไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่ดิฉันจะล้มฟาดลงไป

ขอกลับหอค่ะ! หัวใจเต้นกระหน่ำเหมือนตีกลอง...ต้อยรู้เรื่องเข้าก็หน้าซีดขาว...เรามารู้ทีหลังว่าเคยมีผู้หญิงที่อยู่หอแถวนั้นโดนฆ่าหมกคลองในชุดนอน เวลาผ่านไปเกือบปีแล้วแต่วิญญาณเธอยังวนเวียนอยู่ที่เดิมค่ะ?!

ใบหนาด จาก นสพ.ข่าวสด

ขนหัวลุกเจ้าของเขาหวง


"ลักษมณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีบ้านผีเรือน

บ้านดิฉันมีผีค่ะ! เป็นผีที่ดุและเฮี้ยนมากที่สุดเลยด้วย!!

ดิฉันอยู่บ้านนี้มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่อายุได้สามขวบแน่ะค่ะ พ่อแม่ท่านสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจริงๆ ราวยี่สิบปีก่อน คุณพ่อแปลงโฉนดเป็นสองแปลงให้ดิฉันกับพี่ชายคนละครึ่ง ท่านอยากให้เราอยู่รวมกันในบ้านนี้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่

ตอนที่เรายังเด็ก เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่พอพี่ชายแต่งงานเมื่อสิบปีที่แล้วสิ่งที่เคยง่ายก็กลายเป็นยากขึ้นมาทันที!

พี่สะใภ้ของดิฉันยึดว่าสมบัติของสามีคือสมบัติของเธอด้วย เธอวาดโครงการไว้ว่าจะขายที่ดินที่เป็นส่วนของพี่ชายดิฉัน สาเหตุเพราะเธอจงเกลียดจงชังบ้านหลังนี้มากนั่นเอง

คนเรานี่ก็แปลกนะคะ เมื่อก่อนตอนเป็นแฟนกับพี่ชายดิฉัน พวกเรารักเธอผู้นี้ไม่น้อยด้วยความที่เธออ่อนหวาน เรียบร้อย จะมีข้อเสียตรงที่เธอขี้น้อยใจ เช่น เราพูดเล่นพูดแซวกันเธอก็จะหัวเราะไปกับเรา แต่พอลับหลังเธอไปร้องห่มร้องไห้ คิดมากกับคำพูดนั้นๆ พี่ชายต้องปลอบแทบแย่ แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง...ตอนหลังๆ เราเลยไม่กล้าพูดเล่นกับเธออีกต่อไป!

พอแต่งงานแล้วเธอก็มาอยู่ที่บ้านนี้กับเราค่ะ ดูๆ เธอก็มีความสุขดี แต่มันฝืนๆ ยังไงพิกล เราพอจะดูออกว่าเธอไม่ค่อยมีความสุขนัก ดูเธอเครียดๆ ทุกอย่างระหว่างพวกเรากับเธอ มันผิดไปจากก่อนที่เธอจะมาเป็นสะใภ้

วันหนึ่ง หลังจากแต่งงานได้แค่สองสามวัน ยังไม่ทันฮันนีมูนเลย เธอก็ขอย้ายห้องนอนด้วยเหตุผลที่ว่า...เธอถูกผีหลอก!

เกือบทุกครั้งที่เข้านอน เธอเล่าว่าจะมีกลุ่มคนเกือบสิบคน ล้วนเป็นคนแก่ทั้งหญิงและชาย มายืนล้อมเตียง แล้วก้มลงมองเธออย่างโกรธเคืองจนเธอกลัวมาก

เราฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า คนแก่เหล่านั้นจะเป็นใครไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่วิญญาณปู่ย่าตายายของเรา ซึ่งท่านยังปกป้องคุ้มครองเราอยู่ในบ้านนี้...อาจจะมีเจ้าที่เจ้าทางและผีบ้านผีเรือนด้วยก็ได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมพวกท่านไม่ต้อนรับสะใภ้ใหม่ กลับมาทำให้เจ้าหล่อนกลัวแทบตายแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม พี่สะใภ้ก็ทนอยู่จนกระทั่งตั้งครรภ์ และได้ลูกสาวคนแรก เธอไม่ยอมเลี้ยงลูกเอง ต้องให้คุณแม่ดิฉันจ้างคนเลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลตั้งแต่ยายหนูยังแบเบาะ ส่วนพี่สะใภ้ก็แต่งตัวสวยออกไปทำงานและกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ซึ่งพวกเราไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ขุ่น เคือง เธอเองซะอีกที่ดูอึดอัดใจ จนในที่สุดก็ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอ

เวลาล่วงเลยไปหลายปี จนกระทั่งเราเริ่มรู้ว่าเธออยากขายที่ดินส่วนที่เป็นของพี่ชายเพื่อจะได้เงินก้อนโต แต่ติดอยู่ตรงที่พ่อแม่เรายังมีชีวิตอยู่ เรารู้เพราะพี่ชายดิฉันมาปรับทุกข์ให้ฟังว่าเธอข่มขู่ ออดอ้อนสารพัดว่าเธอไม่มีความมั่นคงในชีวิต ถ้าขายบ้านได้เงินละก็ เงินก้อนนี้เธอจะเอาเก็บไว้ให้ลูก

เมื่อวันแม่ที่ผ่านมานี้ เธอมากราบคุณแม่ดิฉันพร้อมกับสามีและลูกสาว แล้วอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน

ค่ำแล้ว เธอเตรียมตัวจะกลับ แต่ก่อนกลับก็ขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย

ไม่ถึงห้านาที เราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวมาก เรากรูกันไปยังหน้าห้องน้ำที่เป็นต้นเสียง...พี่สะใภ้ดิฉันร้องกรี๊ดๆ อย่างคนเสียสติ ไม่ยอมเปิดประตู จนคุณแม่ดิฉันต้องไปหยิบกุญแจมาไขเข้าไป และพบว่าเธอนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง เอามือปิดหน้าปิดตา ตัวสั่นด้วยความกลัวสุดขีด

หลังจากปลอบโยนกันอยู่นานมาก เธอก็เล่าว่าขณะที่ล้างไม้ล้างมือและส่องกระจกนั้น ภาพเธอในกระจกค่อยๆ เปลี่ยนไป...หน้าเขียวและเหี่ยวย่นลงจนดูเหมือนคนแก่ชัดๆ

ตอนแรกนึกว่าตาฝาด แต่ขณะกำลังสงสัย เงานั้นก็โผล่พรวดออกมาจากกระจกจนเธอผงะ ถอยหลังกรูด หงายหลังล้มลงตรงมุมห้อง วินาทีนั้นเอง ไฟในห้องน้ำก็ปิดๆ เปิดๆ แล้วก็ดับมืดไปเลย จนมีเสียงไขกุญแจ ไฟก็สว่างตามเดิม

พวกเราไม่เห็นมีสิ่งใดในห้องน้ำผิดปกติไปเลยสักนิดเดียว แต่ดิฉันเชื่อในสิ่งที่เธอเล่าค่ะ...เชื่อว่าผีปู่ย่าตายาย หรือผีบ้านผีเรือนคงเกลียดชังเธอมากๆ

เกลียดเพราะเธอคิดไม่ดีกับเรา!

เกลียดเพราะเธอจะขายบ้านขายที่ดินนี้!!

พี่สะใภ้พูดกับดิฉันในภายหลังว่า อย่าอยู่ที่นี่เลย ผีดุเหลือเกิน! เธอถามว่าไม่กลัวผีรึไง? ดิฉันบอกเธอว่าไม่กลัว กลับรู้สึกอุ่นใจด้วยซ้ำ! เธอค้อนดิฉันอย่างเคืองขุ่น ดิฉันไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวไหมว่าผีเกลียดเธอเพราะอะไร?

แต่ดิฉันมั่นใจว่าตราบใดที่เธอยังคิดจะทำลายบ้านนี้ ผีที่น่าสยดสยองก็จะตามหลอกตามหลอนเธอต่อไปไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน!

ขนหัวลุกภาพผีสิง

โจ้ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพถ่าย

คุณคงเคยได้ยินเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณมามากแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและชอบดูรูปภาพประเภทนี้ มันน่าทึ่ง น่ากลัวและน่าสยดสยองจริงๆ วันหนึ่งผมก็ได้ประสบพบเจอมันเข้ากับตัวเองมันยิ่งกว่าสยองอีกครับ เพราะผีในภาพมันตามผมกลับมาบ้านด้วย!

เรื่องนี้เริ่มต้นในวันที่ผมไปเที่ยวน้ำตกที่นครนายกกับเพื่อนๆ ผมเองเป็นต้นคิดและนัดแนะกับเพื่อนฝูงอีกเกือบสิบคนไปเที่ยว....พวกเราเรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน... สนิทกันมาก...มากจนไม่ต้องรอให้ถึงวันคืนสู่เหย้า เราก็นัดพบกันได้เป็นฝูง

พวกเราทั้งหญิงและชายออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะกะว่าจะไปเช้า-เย็นกลับ...วันนั้นผมขับรถตู้ไปเองด้วย ผมมีรถตู้ครับ บริการเพื่อนๆ จนถึงบ้านทุกคน นับว่าสะดวกสบายดีมากๆ พวกผู้หญิงทำอาหารปิกนิกเพียบพร้อม น้ำจืด น้ำหวาน น้ำขมมีครบ

ที่น้ำตกนั้นคนน้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ เราจึงสำเริงสำราญกันเต็มที่...พวกเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถ่ายจากมือถือและทั้งกล้องดิจิตอล ผมเพิ่งซื้อกล้องใหม่มาอันหนึ่ง ราคาหมื่นกว่าๆ กำลังเห่อครับ

ยามบ่าย อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่เราเล่นน้ำกันจนค่อนข้างหนาว และเราก็นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ครึ้ม ลมแรง แดดสวยใสเชียว

ช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆ เริ่มเหนื่อย พักความโลดโผนโจนทะยานกันชั่วครู่ บางคนนอนผึ่งพุงจนเคลิ้มหลับ พวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างลืมโลก ผมปลีกตัวลัดเลาะไปตามแนวหินและร่มไม้ พร้อมกับหันกล้องถ่ายรูปตัวเองบ้าง ถ่ายวิวสวยๆ บ้าง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมยืนพิงก้อนหินใหญ่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ใบสวย เห็นน้ำตกอยู่ข้างๆ แอ่งน้ำตรงนั้นลึกแค่เข่า น้ำเย็นเฉียบ ผมหันกล้องเข้าหาตัวเองและกดชัตเตอร์ เสร็จแล้วก็กดดูภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จนี้ อือม์...ไม่หล่อแฮะ ลบดีกว่า!

แต่เดี๋ยวก่อน...นั่นอะไรน่ะ?

ในภาพนั้น เห็นใบหน้าผมกำลังเก๊กหล่อ แต่มันดูขมึงทึงไปหน่อย นั่นไม่สำคัญ...ด้านหลังผมต่างหากที่น่าสนใจ!

เยื้องไหล่ซ้ายของผม ลึกเข้าไปในดงไม้ มีใบหน้าของผู้หญิงผมยาวปรากฏขึ้น!

ผมหันขวับไปมองตรงจุดนั้น แต่ไม่เห็นใครเลย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ผมกลับมาจ้องดูในภาพ... มันมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าผู้หญิงที่ปรากฏไม่ใช่คน! ลักษณะเธอเหมือนภาพโปรโมตหนังผีไม่มีผิด ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าดำมอมแมมด้วยคราบเลอะเทอะ ซึ่งผมแน่ใจว่ามันคือเลือด! ดวงตาไร้แววของเธอเบิ่งค้าง ปากอ้าคล้ายกำลังคราง

มีแววของความเจ็บปวด หวาดกลัวสุดขีดและความตาย...ยิ่งดูยิ่งชัด!

ผมเผ่นไปให้เพื่อนๆ ดู พวกมันสติแตกกันกระจาย ไอ้ที่เมาก็หายเมา ที่ง่วงเหงาก็ตื่นโพลง พวกผู้หญิงลืมไปแล้วว่ากำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ มันทำให้เราฮือฮามาก ถามหาที่มาที่ไปของผู้หญิงในรูปกันให้ควั่ก

ในที่สุดก็รู้จากแม่ค้าแถวๆ ปากทางว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีผู้หญิงมาโดดน้ำตกตาย ท่าทางเป็นชาวบ้าน แต่มาจากไหนไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังหาญาติไม่พบ

เธอมาตายคนเดียว เจ้าหน้าที่ห่อศพที่ยับเยินของเธอไป...

ผมกลับบ้านด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ...เอาละซิ! เจอเข้ากับตัวเองแล้วทีนี้ เป็นไงล่ะ ผมไม่ได้ลบรูปนั้นทิ้ง แต่เอามาให้พ่อแม่และญาติพี่น้องดู เป็นที่ตื่นเต้นฮือฮากันไปทั่ว

กล้องตัวนั้นผมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านปลายเตียง มันสงบนิ่งอยู่ในนั้นอย่างน่าพรั่นพรึง...เพราะมีรูปผมกับผีติดอยู่!

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทีแรกก็คิดว่าฝันไป แต่มันชัดมากเหมือนเธอนั่งคร่ำครวญอยู่ในตู้นั้นจริงๆ ผมผวาเลยครับ...รีบเปิดไฟแต่ไม่กล้าเปิดตู้

ในที่สุด ผมอัดรูปนั้นเก็บไว้ และลบภาพในกล้องทิ้ง หวังว่าอาถรรพณ์ของมันจะหมดไป แต่ผมคิดผิดครับ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญยังคงมีอยู่ จนผมเอากล้องไปเก็บไว้ที่อื่น

คราวนี้เธอไม่ได้อยู่แค่ในตู้เสื้อผ้า แต่เพ่นพ่านไปทั่วบ้าน คนใช้ผมซึ่งตื่นแต่เช้ามืดยังเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งชุดแบบชาวบ้านเดินช้าๆ อยู่ที่นั่นที่นี่...ผมกลัวจริงๆ ถึงใส่บาตรทำบุญไปให้ เธอก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ

เมื่อหมดปัญญาแล้ว ผมก็เริ่มพูดกับเธออย่างจริงจัง...พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่าตามผมมาทำไม? ที่นี่เป็นบ้านของผม อย่ามารบ กวนดีกว่า กลับไปซะ!

ผมสงสารแม่และหลานๆ ที่ต้องกลัวผี ใครก็ไม่รู้ที่ผมพาเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว

ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง เรื่องสยองเรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่รู้สึกว่ามีผีแปลกหน้าอยู่ในบ้านอีกเลยนับแต่นั้น

แม่บอกว่าเป็นเพราะจิตของผมที่โกรธจนไม่กลัว และบอกผีอย่างจริงจังให้ไปซะ! เวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้ คุณลองใช้วิธีผมก็ได้ครับ ข้อสำคัญต้องจิตแข็ง...ได้ผลจริงๆ ครับ!


ขนหัวลุกบ้านผีเฮี้ยน


"ต๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม และผมจะไม่มีวันลืมแน่ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว!

บ้านผมอยู่ยานนาวา พ่อแม่ชอบพูดชมผมให้คนอื่นๆ ฟังเสมอว่าผมเป็นเด็กเอาถ่าน ได้เรื่องได้ราว เป็นธุระให้พ่อแม่ได้ทุกเรื่อง...แหม! ก็เด็กจบจากรามนี่ครับ ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นหัวหน้าลูกเสือ หัวหน้าห้อง พอเข้ามามหาวิทยาลัยอยู่ปีสองก็เป็นหัวหน้าชมรม นิสัยผมชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ

...และนี่เอง คือที่มาของคืนสยองคืนนั้น!

ลุงวีระ-เพื่อนของพ่ออยากได้คนไปนอนเฝ้าบ้านให้คืนหนึ่ง เพราะจะต้องไปทำธุระกับป้าน้อยที่ต่างจังหวัด ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย อยู่กันแค่สองคนตายาย ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

แหม! เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป บ้านของลุงวีระอยู่รังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยของผมพอดี ไม่ลำบากหรอก ผมจะไปเฝ้าบ้านให้หนึ่งวันกับหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นวันจันทร์ผมก็ไปเรียน ลุงวีระจะกลับมาราวๆ บ่าย ทุกอย่างลงล็อกพอดิบพอดีไม่มีปัญหา

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมสะพายเป้ไปถึงบ้านลุงวีระ และได้พบกันก่อนจะออกเดินทาง ป้าน้อยจัดห้องให้ผมนอนที่ชั้นบน เป็นห้องนอนเดิมของลูกสาวคนโตน่ะเอง

คุณป้าเตรียมของกินใส่ตู้เย็นไว้เพียบ ส่วนคุณลุงบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ดูทีวี ฟังเครื่องเสียง เล่นคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง...บ้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนักเพราะเป็นหมู่บ้าน แต่แปลกมากที่บ้านข้างๆ รอบๆ นั้นไม่มีคนอาศัย มันปิดไว้เฉยๆ บางหลังมีป้ายประกาศขาย บ้างก็มีประกาศให้เช่า...เป็นเพราะอย่างนี้กระมัง คุณลุงถึงต้องหาคนมาเฝ้าบ้านเพราะมันดูเปลี่ยวเอาการ...ขโมยขโจรคงจะชุมน่าดู!

ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง แต่ก็สบายเชียวละ ผมเอาเนื้อออกมาย่างกับเตาอเนกประสงค์ กินคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเอางานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้านมาทำ โดยใช้เน็ตของคุณลุง...พอตกกลางคืนกลายเป็นคนละเรื่องเลยครับ

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่อบอุ่นน่าสบายนั้นจางหายไปพร้อมๆ กับแสงตะวันละแวกบ้านลุงวีระ...คือรอบๆ ตัวผมมันช่างวังเวงเหมือนอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

งานของผมยังไม่เสร็จ ต้องค้นคว้าในเน็ตต่อไปอย่างมีสมาธิ แล้วพักกินมื้อเย็นราวๆ ทุ่มเศษ จากนั้นก็เปิดเน็ตทำงานต่อ

ราวสองทุ่มกว่า ผมได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนจำนวนมากคุยกันอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็เลยเปิดม่านดู...รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด จะสว่างเฉพาะแสงไฟถนนเท่านั้น แล้วเสียงพวกนั้นมาจากไหนนะ? ช่างเถอะ...อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้เข้านอน สักห้าทุ่มสองยามก็ยังดี

ยิ่งดึก ผมยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างวุ่นวายอยู่รอบๆ ตัว บางทีก็เหมือนมีใครมายืนมองนอกหน้าต่าง ตอนแรกยังผวา นึกว่าขโมยมันดอดเข้ามา...ผมชักกลัวแล้วนะ

สี่ทุ่มครึ่ง ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้านนี่เอง!

เมื่อเดินไปดูก็พบว่า บ้านหลังนั้นมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม...แต่แล้วผมก็เห็นสิ่งประหลาด...ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่มืดๆ นั้น ไม่ใช่ออกนอกประตูรั้วนะครับ แต่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองพอดี

เขาใส่เสื้อกล้ามขาวๆ ไฟถนนส่องให้เห็นว่าอายุราวสี่สิบกว่าๆ ร่างท้วม ผมบาง...เขายืนเหม่อลอย ถอนใจ...แล้วก็หันหน้ามาทางผม

คุณพระช่วย! เขามีท่าทางว่ามองเห็นผมด้วย นั่นไง! เขาโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างใจลอยยังไงไม่รู้...เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น!

จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงานแล้วครับ ผมเข้านอน ปิดม่านหน้าต่างหมด เปิดแอร์และเปิดไฟหัวเตียงไว้ รู้สึกหนาวเยือกๆ บอกไม่ถูก แว่วเสียงเหมือนผู้ชายร้องไห้จากบ้านข้างๆ น่าขนลุกชะมัด...คืนนั้นผมฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีปีศาจจนสะดุ้งผวา หลับๆ ตื่นๆ ไปทั้งคืน!

รุ่งขึ้นไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ถามว่าทำไมขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ผมเลยเล่าสิ่งที่พบมาให้ฟัง...

ไม่น่าเชื่อเลยครับ รุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พูดถึงชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา พอผมบอกว่าใช่ เขาก็เล่าว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เอง เมื่อหลายเดือนก่อนมีบ้านหลังหนึ่งจัดงานเลี้ยง แต่พอตกค่ำ เจ้าของบ้านก็ทะเลาะกับเมียแล้วผูกคอตายกลางดึกคืนนั้นเอง

ตั้งแต่นั้นผีก็ดุมาก คนข้างบ้านต่างกลัวผี หลายคนเห็นกับตาว่าคนที่ตายนั้นออกมายืนที่ระเบียง...หลายบ้านถึงกับย้ายหนี! ฟังแล้วเข่าอ่อนเลย...ถ้างั้นผมก็เจอเข้าแล้วเต็มๆ

ทุกวันนี้ผมยังมีนิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณลุงวีระขอให้ไปเฝ้าบ้านอีก ผมเห็นทีจะต้องปฏิเสธละครับ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย!

โดย ใบหนาด : ที่มา นสพ.ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ผีนางตะเคียน ตำนานความเชื่อเรื่องนางตะเคียน

ผีนางตะเคียน ตำนานความเชื่อเรื่องนางตะเคียน

นางตะเคียน เป็นผีตามตำนานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนบริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่ว ๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

ผู้คนที่มีความเชื่อเรื่องนี้ มักเชื่อว่าต้นตะเคียนมักมีผีนางตะเคียนสิงอยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็น

เรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น
ต้นตะเคียน ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และมีผีสิงอยู่ มักจะได้รับการเรียกชื่อว่า เจ้าพ่อ หรือ เจ้าแม่ตะเคียนนางตะเคียน เป็นผี ตามตำนานพื้นบ้านของไทย

ลักษณะ
นางตะเคียน เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียน

บริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่วๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

เนื่องจากต้นตะเคียน มีผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็นเรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น

"ตัดไม้มาปลูกบ้าน"

ถ้าพูดถึงเวรกรรมแล้ว ทุกคนคงเข้าใจดีว่า เมื่อเราเกิดมาย่อมหนีความตายไม่รอด แม้สรรพสิ่งใดก็ตาม ที่อยู่ในโลกนี้ ย่อมมีทั้งคนดี และชั่ว เรื่องนี้เป็นอาถรรพ์ ที่เกิดขึ้นจริง ในจ.น่าน ณ ที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสถานที่บูชาเจ้าแม่ตะเคียน ที่ผุดขึ้นมาจากเสาบ้านหลังที่ใหญ่โต ผู้เถ้าผู้แก่ เล่าลือกันมาว่า คนที่


ไปตัดไม้มาทำบ้านเรือน เพื่อเป็นที่อยู่ โดยเฉพาะบ้านไม้หลังใหญ่โต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมนำความหายนะ มาสู่บ้านเรือน ไม่ว่าคนที่อาศัย ย่อมเจ็บเป็นป่วยไข้ และล้มหายตายจากไป
"ผีนางไม้ที่สถิตย์อยู่"

วิญญาณก็ต้องรอเวียนว่าย ตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด .....เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ลือกันมาว่า หลังจากบ้านแห่งนั้นปิดตายมานาน คนภายนอกที่มาพักอาศัย จากต่างถิ่น ก็เข้ามาเช่าอยู่

แต่ต้องตาย ทั้งที่ไม่ทราบสาเหตุ บ้างก็ลือกันว่า ผีมาเอาชีวิตไป เพื่อรอการไปผุดไปเกิด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครที่จะไปพักที่แห่งนั้น เพราะต่างหวาดผวา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางหมู่บ้านจึงทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นความสิริมงคลแก่ชีวิต ..แต่ข้าพเจ้าเองคงคิดว่า เป็นผีนางไม้ที่สิงสถิตย์ อยู่ต้นตะเคียนที่บ้านแห่งนั้น..


ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง

ศาลเจ้าแม่ตะเคียน มีเรื่องเล่ากันว่า อยู่คู่กับวัดหนองผักชีมาตั้งแต่สร้างวัดครั้งแรก สภาพภูมิประเทศของวัดหนองผักชีในสมัยก่อน เป็นทุ่งนา และป่าละเมาะ จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ในพื้นที่ เล่ากันว่า ในสมัยนั้นที่วัดจะเป็นป่า และข้างหลังศาลเจ้าแม่ตะเคียนจะมีคลองน้ำ ที่ใช้สัญจรไปมาของคนในยุคนั้น ไม่มีชาวบ้านกล้าเดินผ่านวัด เพราะว่าผีเฮี้ยนมาก

เจ้าแม่ตะเคียนนี้เฮี้ยนมาก(อาจเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่ศาลก็ได้) ได้เที่ยวหลอกหลอนคนที่ผ่านไปมา แต่ก็มีบางครั้นก็บันดาลโชคลาภแก่ผู้ที่มาเคารพสักการะอยู่เป็นประจำ มาถึงยุคหลวงพ่อสูงเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ดำเนินการสร้างศาลเจ้าแม่ตะเคียน

เจ้าแม่ตะเคียนก็ไม่ได้หลอกหลอนชาวบ้านอีกเลย มีแต่บันดาลโชคลาภแก่ผู้ที่มาเคารพ และบนบาน เชื่อกันว่าเจ้าแม่ตะเคียนให้หวยแม่น จึงมีผู้คนเดินทางมาทำบุญที่วัดหนองผักชีเป็นจำนวนมาก

ผีกะยักษ์

ลักษณะ : เหมือนคน รูปร่างสูงใหญ่ มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ มีฟันแหลมๆ ตาสีแดง เล็บยาวแหลม
อาหาร :

เรื่องเล่า : ผี กะยักษ์ เดิมคือพระ หรือผู้ที่มีคาถาอาคม แต่ชอบขโมยของวัด เมื่อตายแล้วจึงได้มาเฝ้าทรัพย์สินอยู่ที่วัดไม่ให้ใครเอาไปได้ ผีกะยักษ์จะมีนิสัยโหดร้าย จึงไม่ค่อยมีหมอผีและผู้มีคาถาอาคมไปยุ้งหรือไปทำให้ผี กะยักษ์อาคาด เพราะถ้าไปยุ้งเมื่อไร ไม่นานคนๆนั้นก็จะตาย
คนที่ดิฉันเคยรู้จัก เกือบจะโดนผีกะยักษ์เอาไปเป็นตัวตายตัวแทน เพราะช่วงนั้นอยู่ในช่วงสงกรานหรือปีใหม่เมือง (ปีใหม่เมือง คือ วันที่ 13 เมษายน ของทุกปีเป็นปีที่คนภาคเหนือถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนปีเก่า เป็นปีใหม่ เรียกง่ายๆคือเหมือนกับคนไทยที่ถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นปีใหม่นั้นเอง) ในช่วงนี้ดวงวิญญาณส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนตัวตายตัวแทน เพื่อที่จะไปเกิดใหม่ ในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 หนู(นามสมมุติ)ได้ไปถือป้ายเดินขบวน ใส่ชุดไทยสีชมพู พอผ่านวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะยักษ์ก็ได้ตามหนูมาจนถึงที่บ้าน ไม้(นามสมมุติ)เป็นเพื่อนของหนูซึ่งมีคาถา และมีสัมพันธ์ที่ 5 เห็นหมอกสีดำอยู่ตรงหน้าบ้าน และมีเงาเป็นร่างคนสูงใหญ่ อยู่ 3 ตน จึงได้บอกให้หนูอย่าออกไปไหนให้อยู่แต่ในบ้าน พอวันที่ 2 เห็นหมอกสีดำ และเห็นเป็นร่างคนสูงใหญ่ สีผิวเข้ม ตาสีแดง มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ มีฟันแหลมๆ เล็บยาวแหลม เสื้อผ้าสีดำ ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน 3 ตน ไม้เห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบเตรียมสิ่งของไหว้ครู ทำพิธีป้องกันไม่ให้ผีกะยักษ์เอาชีวิตของหนูไปได้

และทำพิธีผลักของเข้าตนเอง เพื่อให้ผีกะยักษ์มาเอาชีวิตของตนเองไปแทน ในคือวันที่ 3 ไม้บอกให้หนูไปอยู่นอกห้องกับนิ่ม(เพื่อนอีกคน) และไม้ก็เข้าไปทำพิธีในห้อง พอตกดึกเสียงประตูเริ่มดัง ตึกๆ ตักๆ ไม้ตะโกนบอกว่าอย่าเปิด อย่าเปิดประตู และบอกให้หนูไปเรียก อาสัน (อาสัน เป็นร่างทรงและมีองค์คุ่มครองอยู่)ที่อยู่บ้านตรงข้ามให้รีบมาช่วยไม้ เพราะไม้ต้านอำนาจของผีกะยักษ์ไม่ไหวแล้ว อาสันจึงรีบมาช่วย โดยมีองค์มาประทับอยู่ในร่าง แล้วท่องคาถา และบอกกล่าวให้ผีกะยักษ์กลับไปเสีย ผีกะยักษ์สู้องค์ที่มาประทับอยู่ในร่างอาสันไม่ไหว จึงได้กลับไป สาเหตุที่ผีกะยักษ์จะเอาหนูเป็นตัวตายตัวแทน เพราะช่วงนั้นหนูดวงตก บวกกับไม่ค่อยชอบไปทำบุญ ผีกะยักษ์จึงอยากได้ไปเป็นตัวตายตัวแทน
* หมายเหตุ : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ตอนที่ดิฉันได้ฟังนั้น ขนลุกไปหมด ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะค่ะ

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีโพง

ผีโพง

ลักษณะ : เป็นคนที่โดนผีโพงเข้าสิง และจะเข้าสิงร่างนั้นตลอด คนที่โดนผีโพงสิงมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนสิง ผีโพงนั้นจะมีรูปร่างเหมือนคนทุกประการ แต่มีแสงไฟออกจากจมูก จะมีอยู่สามสี คือ สีแดง สีม่วง และสีเขียว

อาหาร : ผีโพงจะชอบกินเมือกกบ เมือกเขียด แล้วก็คลายทิ้ง กบ เขียดนั้นก็จะตาย

เรื่องเล่า : คนในสมัยก่อนเล่าต่อๆกันมาว่า ก่อนออกไปหากิน ผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงก่อนออกไปหากิน พอใกล้สว่างก็จะกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม คนที่มีคาถาอาคมสมัยก่อน ถ้าสงสัยว่าใครเป็นผีโพง ก็จะร่ายคาถา แล้วกลับบันไดบ้านของผีโพง เมื่อผีโพงกลับมาที่บ้าน ก็เห็นว่าบ้านเป็นของตนเอง แต่บันไดไม่ใช่ มันก็เดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ จนรุ่งเช้า มีคนมาพบเห็นเข้าก็จะรู้ว่าคนๆนั้นเป็นผีโพง คนที่เป็นผีโพงก็จะอับอาย หรืออาจหลบหนี้ไปอยู่ที่อื่น แต่ถ้าผีโพงรู้ว่าใครแกล้งมัน มันก็จะอาฆาตแค้นเมื่อคนที่ร้ายมัน พลังอ่อนลง มันก็จะกลับมาแก้แค้น โดยเอาก้านกล้วยแม่หม้ายพุ่งข้ามหลังคา

ผีโพง จะเป็นตอนกลางคืน ช่วงที่ชาวบ้านพบเห็นบ่อย จะอยู่ในช่วงฤดูฝน ช่วงตอนฝนตก มักจะเห็นแสงสว่างสีแดง ม่วง เขียว ที่จะสว่างแถวกลางทุ่งนาแล้วดับ แล้วก็ไปสว่างแล้วดับอีก ไปเรื่อยๆ บางก็เล่าว่าจะมีแสงไฟตกจากจมูก เหมือนหยดน้ำด้วย ถ้ามีคนตามรอยผีโพงไป ก็จะเจอกับ กบ เขียด ที่จะนอนตายตัวแข็งตามท้องนา ถ้าหากว่าคนไปเจอกับผีโพงเข้า แล้วเห็นว่าผีโพงนั้นเป็นใคร ผีโพงมักจะบอกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของมัน ที่ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” และอ้อนวอนอย่าให้บอกใคร ผีโพงก็จะเสก ใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ (ถ่านมี่ คือถ่านสีดำ ที่ใช้ก่อกองไฟในครัว) ให้กล้ายเป็นทองคำ แล้วเอาจ้างคนที่พบเห็น เพื่อที่จะไม่ให้บอกใคร ถ้าไม่รับปาก หรือไม่รับทองคำนั้นมา ผีโพงก็จะทำร้าย หรือทำให้เรากลายเป็นผีโพงเหมือนมัน หรือใต้ถุนบ้าน ทำให้คนที่อยู่ในบ้านเจ็บป่วย หรือตายหมดทั้งบ้าน
เมื่อรับทองคำนั้นมาแล้ว ตอนเช้าทองคำนั้นก็จะกลายเป็นใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ เหมือนเดิม คนที่พบเห็นจะต้องเก็บนี้เป็นความลับ แต่ถ้าจะบอกกับผู้อื่นก็ห้ามพูดชื่อ ว่าใครเป็นผีโพง ถ้าเกิดพูดชื่อออกไป ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ทันทีว่าเราเอาความลับของมันไปบอกคนอื่น มันก็จะตามมาทำร้ายเราที่บ้าน โดยใช้ ก้านกล้วยแม่หม้าย (ก้านกล้วยแม่หม้าย คือก้านกล้วยที่เอาใบตองออกแล้ว เหลือใบตองส่วนปลายไว้นิดหน่อย) พุ่งข้ามหลังคา หรือใต้ถุนบ้าน

ฉะนั้นในคนสมัยก่อนมักจะบอกให้เราฟันก้านกล้วย ออกสอง 2 ท่อน หรือหลายๆท่อน เพื่อที่จะไม่ให้ผีโพงนั้นนำไปใช้ได้อีก

ชาวบ้านพบเห็นผีโพงครั้งสุดท้ายในช่วงปี พ.ศ. 2514 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นอีก

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่




ผีโพง เป็นผีประเภทเดียวกับผีกระสือ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบแมงคาเรือง

เมื่อจะออกหากิน ผีโพงจะออกไปในรูปลักษณ์รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้าของว่าน ไม่ได้ถอดหัวกับไส้เหมือนกระสือ มาในรูปร่างกายมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีดวงไฟเล็กๆ สว่างเรืองๆ อยู่ที่ปลายจมูก และหยดลงเป็นหยดๆ เหมือนหยดน้ำ ฝีโพงจะออกหากินตามหนองน้ำ หรือทุ่งนาหลังฝนตก อาหารของผีโพงคือกบ และเขียด ซึ่งผีโพงจะกินด้วยการจับมาดูดเอาเมือกกินทีละตัวๆ

โดยปกติ ผีโพงจะกลัวคน และหลบหน้าคน ไม่ยอมให้ใครมาเห็น หรือจำได้ว่าตนเป็นใคร หากมีคนบังเอิญมาพบ คนผู้นั้นไม่ได้ทำอันตราย หรือวิ่งหนีไป ผีชนิดนี้จะเข้ามาเจรจา บ้างก็เสกก้อนหินเป็นเหรียญ เสกใบไม้เป็นธนบัตร แล้วเอามาให้คนๆนั้น แล้วบอกว่าอย่าบอกให้ใครรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่กลับไปบ้านของพวกนั้นจะกลายเป็นสภาพตามเดิม แต่ถ้าหากใครทำให้เจ็บใจ หรือนำเรื่องไปบอกชาวบ้านว่าตนเป็นใคร ผีโพงจะเอาคานของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน แล้วในทีสุด คนคนนั้นก็จะพบกับความพินาศวอดวาย หรือไม่งั้น ก็จะนำเอาก้านกล้วยที่ถูกตัดเอาใบออกไปหมดแล้ว พุ่งข้ามหลังคาบ้าน คนภาคเหนือสมัยก่อนเมื่อตัดใบกล้วยนำไปใช้แล้วจึงมักจะสับก้านกล้วยให้เป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปทิ้ง หรือไม่งั้นก็จะถ่มน้ำลาย ใส่ในหม้อน้ำดื่ม บ้านคนที่เห็นหน้าตนและนำไปบอกคนอื่น หรือทำร้ายตนเอง เพื่อให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นพีโพงต่อไป

หากมีคนทราบว่าตนเป็นใคร จะอยู่ได้ไม่เกินสามวัน จะมีตุ่มน้ำหนองพุพองทั่วร่างกาย แล้วสิ้นใจไปที่สุด


ผีโพง ชอบกินของสดของคาว เช่น คาวจากปลาสด แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ คาวจากเขียด ผีโพงจะอยู่ในเรือนของคนที่เป็นร่างสื่อ เมื่อจะออกหากินจะเข้าสิงคนที่เป็นร่างสื่อแล้วบังคับให้ออกหากิน ส่วนมากจะออกหากินในเวลากลางคืน มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า หากอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นร่างสื่อของผีโพง ให้สังเกตดูที่ปลายจมูกของบุคคลนั้น ถ้ามองดูห่างๆ จะเห็นเป็นสีแดงมากกว่าคนทั่วไป ถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นมีเส้นเลือดแดงขวักไขว่ ถ้าร่างสื่อเป็นหญิงนอกจากปลายจมูกจะแดงแล้ว ปลายผมยังแห้งงออีกด้วย

ถ้าวัดมีงาน ผู้ดูแลหอศาลจะเป็นคนนำพานข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนไปบอกกล่าวให้ผีเสื้อวัดได้รับรู้ เพื่อขอให้ช่วยดูแลงานให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดเรื่องร้าย หรืออย่าให้มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างที่วัดมีงาน เช่น งานปอยหลวง (งานฉลอง) จะกี่วันก็ตาม ผู้ดูแลจะเป็นผู้จัดสำรับอาหารคาวหวานจากวัดไปถวายโดยตั้งไว้บนหอศาลทุกวัน

ผีโพงจะออกหากินในเวลากลางคืน ถ้าเป็นฤดูฝนโอกาสดีจะออกหากินบ่อย ส่วนมากจะเป็นคืนข้างแรมหรือคืนเดือนมืด เวลาประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อชาวบ้าน และคนในครอบครัวนอนหลับกันหมดแล้ว ผีโพงจะเข้าสิงร่างสื่อแล้วบังคับให้ลงจากเรือน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง เมื่อลงไปข้างล่างจะเอาจมูกถูกับเสาเรือนเพื่อให้เกิดพลังแสงก่อนแล้วจึงเดินออกไปกลางทุ่งนา ที่ปลายจมูกจะมีแสงสีแดงลักษณะคล้ายไฟน้ำตกสาดแสงออกมาเพื่อส่องหาเขียด เมื่อพบเขียดจะจับขึ้นมาจูบกินคาว เมื่อคาวหมดก็จะทิ้งไปแล้วหาตัวใหม่ต่อ จับไปจูบไปจนกว่าจะอิ่ม ใช้เวลาคืนหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าคืนไหนไม่มีสิ่งรบกวนจะใช้เวลาหากิน 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงกลับขึ้นเรือนและเข้านอน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายฝันไป มีคนเล่าว่าเวลาเช้ามืดถ้าออกไปสำรวจดูบริเวณที่เราเห็นแสงของผีโพงในคืนที่ผ่านมา จะเห็นเขียดนอนตายตามคันนาเป็นระยะๆ ในลักษณะตัวเหยียดยาว



คนที่มีเรือนใกล้กับเรือนของคนที่เป็นผีโพงเล่าให้ฟังว่า ได้เคยแอบดูพฤติกรรมของคนที่เป็นผีโพงมาโดยตลอด จึงได้ทดลองวิธีการแกล้งผีโพงตามที่คนโบราณบอกไว้ว่า คืนไหนที่มีฝนตกปรอยๆ เขาจะแอบดูตั้งแต่คนที่เป็นร่างสื่อลงจากเรือนไปที่ทุ่งนา เขาจึงไปยกบันไดเรือนของคนที่เป็นผีโพง กลับเอาข้างล่างขึ้นข้างบน หรือสับเปลี่ยนบันไดกับเรือนอื่นที่อยู่ใกล้กัน (การยกบันไดสมัยโบราณไม่ยาก เพราะบันไดทำด้วยไม้ไผ่ และมีขั้นบันได้ 3-5 ขั้นเท่านั้น จึงมีน้ำหนักเบา ยกย้ายได้ง่าย) เมื่อผีโพงกลับจากการหากินจะขึ้นเรือนไม่ได้ เพราะเห็นว่าตัวเรือนเป็นของร่างสื่อแต่บันไดไม่ใช่ เมื่อตามไปดูบันไดเรือนที่อยู่ใกล้กัน เห็นว่าบันไดใช่ แต่ตัวเรือนไม่ใช่ ร่างสื่อของผีโพงจึงไม่กล้าขึ้นเรือน จะอยู่ใต้ถุนเรือนรอจนถึงเช้า เมื่อสว่างแล้วจึงทำทีถือไม้กวาด กวาดตามลานบ้าน เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้คนในครอบครัวรู้ แต่การแกล้งผีโพงต้องระวังตัวให้ดี เพราะผีโพงจะอาฆาตจองเวร

ครอบครัวใดที่มีสมาชิกในครัวเรือนเป็นผีโพง คนในครอบครัวเดียวกันจะไม่ค่อยรู้ เล่ากันว่าก่อนที่ผีโพงออกหากิน จะสะกดจิตทุกคนในครอบครัวให้หลับเป็นตาย (หลับสนิท) จนกว่าผีโพงจะกลับเรือน คนที่รู้เห็นจึงเป็นคนนอกครอบครัวนั้น

ในระหว่างที่ผีโพงกำลังออกหากินเขียด ถ้ามีใครที่ไปหาปลาพบเห็นเข้า ท่านห้ามเข้าไปใกล้ หรือถ้าเห็นหน้าและรู้จักคนที่เป็นร่างสื่อของผีโพง ก็อย่าได้ทักหรือเรียกชื่อเขา ให้หลีกไปเสีย เพราะอาจจะถูกผีโพงทำร้ายเอาได้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า มีคนหาปลาไปพบผีโพงในระยะใกล้จนเห็นหน้าและรู้ว่าเป็นใคร ผีโพงนั้นได้เข้ามาขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร โดยขอร้องอย่าได้บอกให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นผีโพง พร้อมกับควักสิ่งของที่ติดตัวไป เช่น แหวน เป็นต้น ให้แก่คนที่ไปพบ เพื่อเป็นค่าจ้างไม่ให้ไปบอกคนอื่น

ถ้าใครทำให้ผีโพงโกรธ เพราะรู้ความลับของเขาแล้วไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง หรือเข้าไปทักชื่อของร่างสื่อที่กำลังออกหากิน ผีจะอาฆาตและจองเวร โดยผีโพงจะใช้ก้านของใบกล้วย ที่มีคนฉีกเอาใบออกแล้วทิ้งก้านไว้ตามสวน พุ่งข้ามหลังคาเรือนของคนที่ผีโพงโกรธ หลังจากนั้นไม่นานคนนั้นจะมีอาการเหงาซึม ร่างกายซูบผอม และตายในที่สุด ด้วยเหตุนี้คนแต่ก่อน หรือแม้แต่คนในปัจจุบันตามชนบท เมื่อฉีกใบกล้วยออกจากก้านแล้ว จึงตัดให้เป็นท่อนๆ ก่อนจะทิ้ง จะไม่ทิ้งไว้ทั้งก้านอย่างนั้น เพราะกลัวว่าผีโพงจะนำไปใช้พุ่งข้ามหลังคาเรือน บางท้องถิ่นเชื่อว่าถ้าผีโพงโกรธใคร จะใช้ไม้คานพุ่งข้ามหลังคาเรือน คนที่เป็นศัตรูของผีโพงที่อยู่ในเรือนนั้น จะไม่สบายและสุดท้ายก็จะตาย

ผีม้าบ้อง

ผีม้าบ้อง

ลักษณะ : เป็นคนที่โดนผีม้าเข้าสิง และจะเข้าสิงร่างนั้นตลอด เวลาออกไปหากินตอนกลางคืน ผีม้าบ้องก็จะแปลงกายเป็นม้าบ้าง หรืออาจเป็นคนธรรมดาแต่ทำท่าทางเหมือนม้าบ้าง และจะมีเสียงร้องเหมือนม้า
อาหาร : ผีม้าบ้องชอบกินคาวเลือด ซากสัตว์ และไข่
เรื่องเล่า : ผีม้าบ้องส่วนใหญ่มักจะไม่มีใครพบเห็นมากนะ เพราะช่วงเวลาตอนกลางคืน และชาวบ้านก็จะปิดบ้านเงียบไม่ออกไปไหน มักจะได้ยินแต่เสียงวิ่งดังเหมือนเสียงม้าวิ่ง ถ้าผ่านบ้านคนที่เป็นรั้วไม้ (สมัยก่อนรั้วบ้านนิยมสร้างเป็นรั้วไม้) จะได้ยินเสียงรั้วบ้านดังเหมือนรั้วพัง พอตอนเช้ามารั้วบ้านก็เป็นปกติไม่ได้เสียหายแม้แต่น้อย ถ้าบ้านใครเกิดลูก ก็จะมีหมอตำแยมาทำคลอดให้

และล้างคาวเลือดเด็กลงใต้ถุนบ้าน ส่วนรกเด็กนั้นมักจะเก็บไปฝังดิน (ลักษณะบ้านสมัยก่อนจะมีใต้ถุนบ้าน พื้นบ้านจะเป็นไม้เรียงตัวห่างกันเล็กน้อยเพื่อให้สามารถล้างสิ่งของ หรือกวาดเศษฝุ่นลงไปข้างล่างได้) พอตกดึก ถ้ามองลอดผ่านพื้นไม้ลงไปข้างล่างก็จะเห็นผีม้าบ้องมาเลียกินคาวเลือด ถ้าผีม้าบ้องมาในร่างคนก็จะใช้มือกวาดคาวเลือดแล้วเลียกิน แต่ถ้าอยู่ในร่างม้าก็จะใช้ลิ้นเลียกินคาวเลือดที่ตกลงไปใต้ถุนบ้าน
จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า เคยมีคนในสมัยก่อนเห็นเป็นตัวม้า วิ่งตอนกลางคืนที่มืดมิด ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2520 เคยเห็นเป็นรูปร่างคนแต่ทำท่าเหมือนม้า ชูสองนิ้วทั้งสองข้าง เอาแนบไว้ข้างศีรษะ วิ่งไปวิ่งมา เปร่งเสียงร้องออกมาเหมือนม้า แล้วก็กลิ้งคลุกฝุ่นไปมา หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยมีใครเห็นอีกเลยนอกจากได้ยินแต่เสียง จนถึงช่วงปี พ.ศ. 2524 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเสียงอีกเลย

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีปู่เฒ่า

ผีปู่เฒ่า

ลักษณะ : เป็นเด็กแบบเบาะแต่ผิวหนังเหี่ยวเหมือนคนแก่ เลี้ยงกี่ปีๆ ก็จะไม่โต ไม่สามารถเดินได้เอง ต้องนอนอยู่ในอู่ตลอดเวลา ผีปู่เฒ่าจะไม่ทำร้ายใคร เพราะจะเกิดมาชดใช้กรรมเท่านั้น
อาหาร : กินนม กินอาหาร เหมือนเด็กทั่วไป
เรื่องเล่า : คนสมัยก่อนเล่าว่า ผีปู่เฒ่าจะเกิดมาเป็นเด็ก แต่ผิวหนังเหี่ยวเหมือนคนแก่ ขาจะเล็ก ไม่มีแรงเดิน แม่จะอุ้มใส่อู่นอน แล้วออกไปทำงานข้างนอนบ้าน พอไม่มีคนอยู่ในบ้าน ผีปู่เฒ่าก็จะย่องๆออกจากอู่มากินข้าวในบ้านที่แม่เก็บไว้ พอแม่กลับมา ได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ในบ้าน เลยเข้าไปดู ผีปู่เฒ่ากลับเข้าอู่ไม่ แม่ของมันมาเห็นเข้า จะเห็นผีปู่เฒ่า ขายาวเหมือนคนแก่ ขาจะสักน้ำหมึกเหมือนคนสมัยก่อน แต่พอกลับเข้าอู่ก็จะกล้ายเป็นเด็กหนังเหี่ยวเหมือนเดิม
ถ้ามีคนเห็นผีปู่เฒ่า อยู่นอกอู่ และรู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นผีปู่เฒ่าแล้ว มันก็จะตาย เพราะถือว่าได้ชดใช้กรรมหมดแล้ว

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีจั๊กแค่

ผีจั๊กแค่

ลักษณะ : เป็นคนแคระตัวเล็กๆ ผมสีแดง แขนขาเล็กเท่าปากกา มันจะไม่มีสะบ้าหัวเขา มักจะอยู่ด้วยกันเป็นฝูง มันจะกลัวคน ถ้ารู้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ ผีจั๊กแค่จะไม่ทำร้ายใคร มันจะอยู่ในป่าไม้มีขน (ไม้มีขน คือ ต้นไม้ที่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่)
อาหาร : กินหอย ปู ปลา
เรื่องเล่า : คนสมัยก่อนเล่าว่า พรานป่าตอนออกไปล่าสัตว์ในป่า ได้เจอกับตัวประหลาด มันมีลักษณะเหมือนคน แต่ตัวเล็ก ไม่มีสะบ้าหัวเขา พรานป่าก็อยากรู้ว่ามันเป็นตัวอะไร จึงใช้เครือเถาวัลย์มาพันต่อกัน แล้วเอาล้อมต้นไม้ไว้ เมื่อผีจั๊กแค่กลัว แล้วจะหนี้ออกไป คนก็ดึงเครือเถาวัลย์ขึ้น ทำให้ผีจั๊กแค่หกล้ม ผีจั๊กแค่มันจะไม่สามารถลุกขึ้นได้ทันที แต่จะพยุงตัวเองลุกขึ้นช้าๆ

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีเฝ้าถ้ำ วัดพระธาตุสบฝาง (ผีปลาเฝ้าถ้ำ)

ผีเฝ้าถ้ำ วัดพระธาตุสบฝาง (ผีปลาเฝ้าถ้ำ)

ลักษณะ : เป็นปลาช่อนตัวใหญ่ มีตาสีแดง ลูกตาขนาดเท่าบาตรพระ
อาหาร : -
เรื่องเล่า : สมัยก่อน ปู่แก้วปวน ได้นำส้อมแทงปลา(ส้อมแทงปลา คืออาวุธที่ให้หาปลาของคนสมัยก่อน เป็นเหล็กยาว ปลายเหล็กจะมีเหล็กยาวแยกออกมาเป็น 2 แฉก) ออกไปหาปลากับเพื่อนอีก 6 คน ที่แม่น้ำใกล้วัดพระธาตุสบฝาง ปู่แก้วปวนเกิดทำแหลมเหล็กตกลงแม่น้ำ จึงดำลงน้ำเพื่อหาแหลมเหล็ก ขณะที่ดำลงไปได้เจอกับถ้ำ เห็นปลาช่อนตัวใหญ่ ลูกตาขนาดเท่าบาตรพระ

ว่ายวนเวียนอยู่ด้านนอกถ้ำ ปู่น้อยปวนหาโอกาสเข้าไปในถ้ำได้ พบว่าภายในถ้ำนั้นมีพระพุทธรูปสีทอง หลายองค์เต็มถ้ำไปหมด ก่อนออกมา ปู่แก้วปวน จึงได้หยิบเอาพระพุทธรูปองค์หนึ่งมา เพื่อจะกลับไปด้านบน แต่ก็ไม่สามารถออกจากถ้ำนั้นได้ ปู่แก้วปวนจึงนำพระพุทธรูปกลับไปไว้ที่เดิม จึงสามารถออกถ้ำได้ หลังจากนั้นปู่แก้วปวนจึงกลับไปบ้าน แล้วก็ไปหาเพื่อนที่ออกไปหาปลาด้วยกัน เพื่อนก็ได้เล่าให้ปู่แก้วปวนฟังว่า ตอนที่ปู่แก้วปวนลงดำหาส้อมแทงปลา เพื่อนๆก็รอจนครึ่งวัน เห็นท่านึกว่าปู่แก้วปวนคงเสียชีวิตแล้ว จึงพากันกลับมาบ้าน แต่ปู่แก้วปวนบอกเพื่อนว่าตอนที่ลงไปในถ้ำนั้น เขาใช้เวลาแค่ไม่นาน แต่กลับขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช้าของอีกวันแล้ว ปู่แก้วปวนจึงได้เล่าเรื่องที่เขาไปเจอถ้ำให้เพื่อนฟัง
หลังจากนั้นมา อุ๊ยม้อม อุ๊ยม้อมเป็นคนภาคกลาง แต่มาได้สามีที่เชียงใหม่ อุ๊ยม้อมสมัยสาวๆ ดำน้ำเก่งมา ดำได้นาน อุ๊ยม้อมจะชอบไปดำน้ำหาปลา เพื่อนำมาเป็นอาหาร วันหนึ่งได้ไปดำน้ำหาปลาในแม่น้ำกก แถวพระธาตุสบฝาง แล้วก็ได้เจอกลับปลาช่อนตัวใหญ่ ลูกตาโตสีแดงเฝ้าหน้าปากดำอยู่ อุ๊ยม้อมไม่กล้าเข้าไปใกล้จึงได้ไปหาปลาบริเวรอื่นแทน พอกลับมาก็ได้เล่าให้สามี และญาติๆฟังว่าได้เจอถ้ำใต้พระธาตุสบฝาง
ชาวบ้านจึงเชื่อกันว่า ปลาเฝ้าถ้ำนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มาเฝ้าปกปักรักษาไม่ให้ใครเข้าไปในถ้ำได้ หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครได้เห็นปลา หรือถ้ำนั้นอีกเลย

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีก๊อกกะโหล้ง

ผีก๊อกกะโหล้ง

ลักษณะ : เหมือนคน แต่มีส้นเท้าหันไปด้านหน้าแทน จะอาศัยอยู่ในป่าไม้มีขน (ไม้มีขน คือ ต้นไม้ที่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่) นิสัยกลัวคน
อาหาร : ปู ปลา หอย ในลำธาร
เรื่องเล่า :
ผีก๊อกกะโหล้ง เดิมเป็นคนเลี้ยงม้า มีเวทย์มนต์คาถาหรือคาถาแกว เช่นคาถาไฟป่า แต่หลบหนี้เข้าไปในป่าหลายต่อหลายครั้ง เมื่อหลบเข้าไปในป่านั้นก็มีคนตามหาเจอ แล้วก็นำกลับมาเลี้ยงม้าเหมือนเดิม มันเลยทนไม่ไหวคิดหาวิธีที่จะหนี้จากคอกม้าไป มันเลยบิดเท้าตัวเอง จากส้นเท้าอยู่ข้างหลังก็ให้อยู่ข้างหน้าแทน แล้วมันก็หนี้เข้าป่าไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตามหามันเจอ เพราะรอยเท้าของมันไปคนละทิศกันที่มันไป
วันหนึ่งผีก๊อกกะโหล้ง เห็นกองไฟ ของ 2 ตายายที่จุดทิ้งไว้มันหาปลาได้เลยเอาปลามาย่างไฟ เมื่อ 2 ตายายมาเจอ อยากจะขับไล่มันให้ออกไป เลยพูดคาถาต่างๆนาๆ ผีก๊อกกะโหล้งก็พูดกลับว่า ฮาฮู้แล้ว กึดคาถายังมาไล่ฮา ฮาก็ฮู้หมดแล้ว (กูรู้แล้ว คิดคาถาอะไรมาไล่กู กูก็รู้หมดแล้ว) คุณตาคนนั้นหมดหนทางที่จะคิดคาถามาไล่มัน ก็เลยบอกให้ยายว่า แม่มันเอาแก้วป่องมา (ยายเอาที่เป่าไฟมา) ผีก๊อกกะโหล้งนึกว่าเป็นคาถาที่มันไม่รู้จัก มันเลยวิ่งหนี้กลับเข้าไปในป่าทันที

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

อาถรรพ์น้ำกก คนเสื้อแดง

อาถรรพ์น้ำกก คนเสื้อแดง

ชาวบ้านแถว ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีความเชื่อว่า ถ้าช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะเป็นช่วงเปลี่ยนตัวแทนตัวตาย ในแม่น้ำกก (หรือ แม่น้ำท่าตอน ที่ชาวบ้านเรียกกัน) ทุกๆปีจะมีคนที่ใส่เสื้อสีแดง ตายในแม่น้ำท่าตอนแห่งนี้
จากเหตุการณ์เมื่อปี พ.ศ. 2549 มีชายหนุ่มในอ.แม่อาย อายุประมาณ 20 ปี ได้นัดกันไปเที่ยวน้ำท่าตอนกับเพื่อน แต่ในตอนที่เขาแต่งตัวออกจากบ้านนั้น เขาได้สวมชุดสีแดง กางเกงสีแดง แม่ของชายหนุ่มเห็น จึงได้ทักว่า ลูกทำไมใส่เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหมแล้วค่อยไปเที่ยว ชายหนุ่มไม่เชื่อฟัง กลับตอบว่า " ไปเที่ยวเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว " แล้วก็รีบออกจากบ้านไปกับเพื่อน เมื่อไปถึงแม่น้ำท่าตอน กลุ่มเพื่อนและชายหนุ่มก็ได้ไปเล่นน้ำแถวโขดหินฝังเดียวกับวัดท่าตอน เวลาผ่านไปซักพัก ชายหนุ่มก็ได้กระโดดตีลังกาลงน้ำ แต่ชายหนุ่มเสื้อแดงคนนั้นกลับไม่โผล่พ้นน้ำมา เพื่อนเห็นท่าทางจะไม่ดีแล้ว จึงรีบกระโดดดำน้ำลงไปหา แต่กลับไม่พบชายหนุ่มเสื้อแดงคนนั้นเลย เวลาผ่านไป 3 วัน จึงจะพบศพของชายหนุ่มเสื้อแดงคนนั้นลอยขึ้นอืดมาตามสายน้ำ
ฉะนั้นผู้เขียนขอแนะนำว่า ถ้าจะไปเล่นน้ำท่าตอน อย่าใส่เสื้อแดงนะค่ะ เพราะถ้าช่วงนั้นเราดวงตก เราก็อาจจะกลายเป็นตัวตายตัวแทนในแม่น้ำท่าตอนได้ ถ้าข้อมูลนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ

ผีปุ้งส้าว ผีพุ่งใต้

ผีปุ้งส้าว (ผีพุ่งใต้)

ลักษณะ : เป็นแสง เหมือนดาวตก แต่จะมีลักษณะเป็นเส้นยาว แสงนั้นจะเป็นแสงสีแดง เขียว หรือขาว
อาหาร : -
เรื่องเล่า : คนสมัยก่อนเล่าว่า ผีปุ้งส้าว คือดวงวิญญาณที่จะมาเกิดบนโลกมนุษย์ ถ้ามีคนเห็นแล้วห้ามทัก ถ้าทักแล้วผีปุ้งส้าวก็จะไม่เกิดในท้องคน แต่จะไปเกิดในท้องสัตว์เดรัจฉานแทน

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ยามคืนดึกดื่นผี ปุ้งส้าวจากท้องฟ้าลงมาพื้นโลก ผู้คนบ่ดีชี้ทักเพราะนั่นคือวิญญาณจากโลกอื่นจะมาเกิด หากทักแล้ววิญญาณจะเข้าท้องสัตว์ไม่ได้เกิดเป็นคน เมื่อก่อนคนเราเชื่อกันว่าท้องฟ้าครอบคลุมผืนแผ่นดิน ที่ผู้คนอยู่อาศัย บนท้องฟ้านั่นคือสวรรค์ที่อยู่ของเหล่าเทวดา อินทร์พรหมทั้งหลาย ต่อมาวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามีกล้องถ่ายภาพท้องฟ้า

ทำให้พบว่า ในห้วงอวกาศมีกลุ่มดาวรวมกันเป็นสุริยจักรวาลมากมาย นอกจากระบบสุริยจักรวาลที่เราอยู่กันนี้แล้ว ยังมีจักรวาลอื่นๆไกลออกไปอีกนับไม่ถ้วนยิ่งนักวิทยาศาสตร์หรือนักดาราศาสตร์ค้นพบจักรวาลอื่นๆมากเท่าไดยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่า ความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นความจริงที่เที่ยงแท้และกลุ่มดาวสุริยะอื่นนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ดังโลกใบนี้เช่นกัน เพราะพระพุทธองค์ทรงพบโดยทิพยจักษุหรือตาทิพย์ส่องเห็นด้วยจิตได้กล่าวไว้มา นานแล้วกว่า 2500 ปี ดังที่ไอสไตร์นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกได้ค้นพบจักรวาลต่างๆเช่นเดียวกัน กับที่พระพุทธองค์ค้นพบและอ้างอิงถึงพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาแห่งจักรวาล คือทรงเห็นกลุ่มจักรวาลอื่นๆไกลโพ้นนับไม่ถ้วนและทรงกล่าวไว้แล้วในพระ ไตรปิฎกเพื่อรอการค้นคว้าให้ผู้คนได้ค้นพบนั่นเอง
แต่หลายๆคนยังต่อ ต้านและไม่มีความเชื่อที่ว่าท้องฟ้านั้นมีดวงดาวอื่นๆที่มีชีวิตอาศัยอยู่ เพราะพวกเขามีความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์เพียงที่ตาเนื้อหยาบและเครื่องมือ วิทยาศาสตร์มองเห็นว่าท้องฟ้ามีเพียงแต่ดาวที่เป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ลอยเคว้งคว้างหมุนรอบดวงอาทิตย์ในห้วงสุริยจักรวาลโดยไร้สิ่งที่มีชีวิตเท่า นั้น
อย่างไรก็ตามในผู้คนที่อาศัยในเมืองล้านนาส่วนหนึ่งยังมีความ เชื่อว่าบนท้องฟ้านั้นยังมีสิ่งที่มีชีวิตหรือเทวดา อินทร์พรหมอาศัยอยู่อย่างแน่นอน และเมื่อสิ่งที่มีชีวิตจะลงมาเกิดเป็นผู้คนในโลกจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเรียก กันว่า"ผีปุ้งส้าว"(ผีพุ่งส้าว) โดยเป็นแสงทางยาวบ้าง สั้นบ้างพุ่งถั่งลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนแล้วหายวูบดับไป นั่นแสดงว่าจิตวิญญาณจากท้องฟ้าได้พุ่งเข้าสู่ท้องผู้หญิงคนใดคนหนึ่งแล้ว และต่อไปก็จะเกิดเป็นมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แต่หากมีคนเห็นและชี้ทักวิญญาณจะเหหันเข้าท้องสัตว์เกิดเป็นสัตว์ตามที่ วิญญาณเข้าท้องสัตว์ชนิดนั้นๆ เช่น อาจเป็น ควาย หมู หมา ซะป๊ะอย่างแล้วแต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์

อาจมีผู้อ่านหลายๆท่านยัง ไม่เข้าใจว่า "ส้าว "มันคืออะไรกันแน่ ? ส้าวหมายถึงไม้ยาวๆที่ใช้สอยผลไม้ หรือใช้ปลิดสอยสิ่งที่อยู่สูงๆลงมาเรียกกันว่า ไม้ส้าว นั่นเอง
ในทางวิชาการเรียกกันว่าดาวตกหรือลูกอุกาบาต ภาษาไทยกลางบางครั้งเรียกกันว่า ผึพุ่งไต้ ที่เป็นเศษดาวต่างๆหลุดหล่นผ่านลงมาจากท้องฟ้าในแต่ละวันเวลานั้นแท้จริง แล้วมันตกลงมานับไม่ถ้วนเพียงแต่เราไม่สามารถมองเห็นเพราะมันสลายก่อนที่ตก สู่พื้นดิน หากใครโชคดีอาจได้เห็นหรือพบก้อนเศษหินสีดำนำมาเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่า โอ...นี่หรือสิ่งที่มาจากนอกโลกมนุษย์หรือมาจากสวรรค์ไกลโพ้น

ผีถ้ำแกลบ อ.เชียงดาว หรือคนลับแลถ้ำแกลบ

ผีถ้ำแกลบ อ.เชียงดาว หรือคนลับแลถ้ำแกลบ

ลักษณะ : เหมือนมนุษย์ทุกประการ

เรื่องเล่า : ถ้ำแกลบ เดิมจะมีแกลบอยู่เต็มหน้าถ้ำ เพราะพวกผี จะชอบแอบมาขโมยข้าวของชาวบ้านแถวนั้น แล้วเอาไปสีข้าวเองในถ้ำ ถ้าชาวบ้านที่มีคาถา ก็จะนำเอาต้นกุงผ่าออกเป็นซีก ขนาดพอให้ปักลงดินได้ แล้วนำมาไม้ต้นกุงมาปักมุมทั้ง 4 มุม ของนาข้าว จะทำให้ผีมองไม่เห็นข้าวทำให้ผีพวกนั้นไม่สามารถขโมยข้าวไปได้ ชาวบ้านบางคนก็พูดลอยๆว่า “ ข้าวไหม้หมดแล้ว กินไม่ได้แล้ว ” เมื่อผีได้ยินอย่างนั้นก็จะไม่ขโมยข้าวไป เพราะคิดว่าข้าวนั้นไหม้แล้ว

สมัยก่อนเคยมีชาวบ้านแถวนั้นสามารถเข้าไปในถ้ำได้ มักจะไปยืมเอากี่ฝ้าย และเปียฝ้าย ที่แขวนอยู่บนหน้าผาในถ้ำ มาใช้ทอผ้า เมื่อใช้เสร็จก็จะนำไปคืนในถ้ำ แต่ไม่สามารถเอากลับไปแขวนไว้ที่เดิมได้ ก็จะบอกกล่าวลอยๆ ว่าเอามาคืนแล้ว แล้วก็นำว่างไว้ที่พื้นถ้ำ หลังจากนั้นก็มีคนมายืมเรื่อยๆ แต่บางคนไม่นำเอากี่ฝ้าย และเปียฝ้ายกลับไปคืนถ้ำ ผีถ้ำแกลบก็เลยบังตาไม่ให้มนุษย์เห็นได้อีก
มีเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่งว่ากันว่า มีมนุษย์ชายคนหนึ่งได้ไปเอาคนลับแลเป็นเมีย ตอนแรกที่ชายหนุ่มนั้นไปอยู่เมืองลับแลผมของเขาสั้น แต่พอกลับออกมาผมของเขายาวมาก เมื่อไปอยู่เมืองลับแล จนมีลูกด้วยกัน วันหนึ่งเมียได้ออกไปข้างนอก ทิ้งลูกไว้กับสามี ลูกร้องไห้ไม่หยุด สามีจึงพูดปลอบลูกว่า “ นู้นๆ แม่มาแล้ว ” ลูกจึงหยุดร้องไห้ พอเมียกลับมาแล้วรู้ว่าสามีของตนนั้นพูดโกหกกับลูก จึงได้นำเอาขมิ้นจำนวนมากมาห่อให้สามี แล้วส่งสามีกลับเมืองมนุษย์ และพูดย้ำกับสามีว่า อย่าเปิดห่อผ้าออก จนกว่าจะถึงบ้าน พอสามีเดินทางออกมา ระยะทางนั้นไกลเหลือเกิน มนุษย์ชายรู้สึกหนัก จึงได้นำขมิ้นให้ห่อผ้าทิ้งออกไปตามทาง เหลือขมิ้นเพียงแง่งเดียวที่นำติดตัวมา เมื่อถึงบ้านเขาจึงได้เปิดห่อผ้าออก แต่กลับพบว่าขมิ้นแง่งนั้น กลายเป็นทอง เขาจึงรีบกลับไปหาขมิ้นตามทาง แต่ก็ไม่พบอะไร (น่าเสียดายแทนจริงๆ ^^)

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีแม่ม่าย

ผีแม่ม่าย ความเชื่อเรื่องผีแม่ม่าย

ลักษณะความเชื่อประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีข่าวลือไปทุกหมู่บ้านในพื้นที่จังหวัดสระแก้วว่ามีผีแม่ม่ายออก อาละวาดในยามค่ำคืน เพื่อตระเวนหาชายหนุ่มไปเป็นสามีในเมืองผี โดยจะมาเอาชีวิตชายหนุ่มในเวลากลาง คืน ๆ ละ ๑ คน หากครอบครัวใดไม่อยากให้ลูกชายตายไปเป็นสามีผีแม่ม่าย ให้สร้างหุ่นผู้ชายไว้หน้าบ้าน เมื่อผีแม่ม่ายออกมาในเวลากลางคืนก็จะคิดว่าหุ่นนั้นเป็นชายหนุ่ม

จึงนำกลับไปเป็นสามีทำให้บุตรชายใน ครอบครัวนั้นไม่ต้องเสียชีวิต จึงนิยมสร้างหุ่นไว้หน้าบ้านของคน โดยพบเห็นอยู่ทั่วไป บางคนมีความเชื่อว่าผีแม่ม่ายคนนี้เป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวมีความต้องการทางเพศสูง มักมากในผู้ชาย จึงทำอวัยวะเพศ (ปลัดขิก) อันใหญ่โตทาด้วยสีแดง ให้ปลัดขิกโผล่ออกมานอกกางเกงของหุ่นนั้นด้วย บางบ้านจะทำใหญ่มาก เพื่อให้ผีแม่ม่ายชอบใจแล้วนำกลับไปเป็นสามีโดยไม่สนใจชายหนุ่มภายในบ้านเลย
ความสำคัญ

หญิงที่เป็นแม่ของชายหนุ่มและหญิงผู้เป็นภรรยา จะคลายความวิตกกังวลในเรื่องความกลัวการสูญเสียบุตรหรือสามี

พิธีกรรม

ทำหุ่นแบบหุ่นไล่กาแต่งตัวแบบผู้ชาย นำไม้เนื้ออ่อนค่อนข้างโตมาแกะสลักเป็นรูปปลัดขิกทาปลาย ปลัดขิกด้วยสีแดง นำไปผูกติดกับด้านหน้าหุ่นไล่กา ให้ปลัดขิกโผล่ออกนอกกางเกง ขนาดยาวพอประมาณให้สังเกตเห็นเด่นชัด เสร็จแล้วนำไปตั้งไว้หน้าประตูทางเข้าบ้านของตน

ผีเปรต แบ่งได้เป็น 12 ตระกูล

ผีเปรต แบ่งได้เป็น 12 ตระกูล

เปรตเป็นผีจำพวกหนึ่งซึ่งได้ เคยสร้างบาปกรรมอย่างหนักไว้ในอดีต พอสิ้นชีวิตลงก็ต้องมารับกรรมกลายเป็นเปรตตามแต่ผลของกรรมจะบันดาล ทำให้เปรตต้องมีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้น ชอบส่งเสียงร้องหรือขึ้นมาขอส่วนบุญจากมนุษย์

ตระกูลเปรตนั้นแบ่งได้เป็น 12 ตระกูล ตามคัมภีร์เปตวัตถุหรือนิรยกถาอันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องของเปรต คือ

1. วันตาสาเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินน้ำลาย น้ำมูก อาเจียนเป็นอาหาร
2. กูณปราทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินซากศพคนและสัตว์เป็นอาหาร
3. คูถขาทเปรตตระกูล คือ เปรตที่กินอุจจาระต่างๆ เป็นอาหาร
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
5. สุจิมุขเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล คือ เปรตเปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียนให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
7. นิชฌาบกเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้เผา
8. สัตตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีเล็บมือ เล็บเท้ายาว และคมเหมือนมีด
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
10. อังครังคาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
11. เวมานิกเปรตตระกูล คือ เปรตที่เสวยทุกข์ในกลางคืน และไปเสวยสุขในวิมานบนสวรรค์ตอนกลางวัน
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล คือ เปรตที่มีฤทธิ์มากและเป็นเจ้าแห่งเปรตทั้งหลาย

การ ที่มนุษย์จะเกิดมาเป็นเปรตก็ตามแต่บาปกรรมที่ได้กระทำไว้บนโลกมนุษย์ เช่น ผู้ที่ชอบดุด่าตบตีผู้มีพระคุณหรือบุพการี ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดังนั้นตอนมีชีวิตอยู่ควรหมั่นทำบุญสร้างกุศลเข้าไว้ โยเฉพาะกับพ่อแม่ ตายไปจะได้ไม่เกิดเป็นเปรต

ผีกระสือในมลายู

ผีกระสือในมลายู
"นายนุ้ย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเรื่องผีกระสือในมลายู

เมื่อเด็กๆ ผมอยู่ในมลายู(ปัจจุบันคือมาเลเซีย) ได้ฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง ผีๆ สางๆ หลายเรื่อง กระทั่งย้ายมาอยู่ในเมืองไทยแล้วจึงได้รู้ว่า คนในย่านนี้มีความเชื่อเรื่องผีคล้ายๆ กันแทบไม่น่าเชื่อ คนไทยเชื่อว่าเสือสมิงมีจริง สาเหตุมาจากกินคนเข้าไปแล้วเกิดติดใจในเนื้อมนุษย์ คงจะติดใจจนจับกินหลายคน วิญญาณผู้ตายสิงอยู่นานๆ ก็แก่กล้าถึงขนาดทำให้เสือแปลงร่างเป็นคนได้ตามใจชอบ


ไม่ ว่าผู้ใหญ่หรือผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ (ที่เคยตกเป็นเหยื่อมาก่อน) เพื่อล่อหลอกให้เหยื่อรายใหม่ตายใจ ได้โอกาสก็ตะครุบกินอย่างง่ายดาย

ที่ มลายูก็เชื่อเรื่องเสือสมิงแบบเดียวกับเมืองไทยนั่นแหละครับ มีพวกนายพรานกับพวกหาของป่า รวมทั้งพวกลูกหาบที่รอดตายกลับมาเล่าตรงกันว่าเคยพบเสือสมิงมาขบหัวคนไปกิน เห็นเป็นคนอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ คำรามโฮก ขย้ำคอหอยคนชะตาขาดตายคาที่

คนอื่นๆ ก็ตกใจแทบเสียสติ ทั้งร้องทั้งวิ่งหนีจนป่าราบไปตามๆ กัน

"ผีกระสือ" ก็เชื่อตรงครับ

ไทย เราเชื่อว่าผีกระสือจะออกหากินตอนกลางคืน อาหารคืออาจมและของสดๆ คาวๆ คล้ายผีปอบ บางแห่งก็เชื่อว่าผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ มีน้ำคาวปลา เลือดสดๆ ด้วย ผีกระสือได้กลิ่นเลือดก็จะมาหากิน ที่หนักกว่านั้นก็คือกินเด็กทารกแรกเกิดนั่นเสียด้วย

เมื่อกินแล้วก็จะเช็ดผ้าที่ใครตากค้างคืนไว้ รุ่งเช้ามาเห็นเข้าก็รู้แน่ว่าในย่านนั้นมีผีกระสือ

สิ่ง ที่ตรงกันอีก 2-3 อย่างก็คือ ผีกระสือจะเป็นผู้หญิง มีทั้งสาวและแก่ ข้อสำคัญคือมีแต่หัวกับตับไตไส้พุง ล่องลอยไปในอากาศพลางส่องแสงวูบวาบไปด้วย จะมีแตกต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่กระสือไทยมีแสงสีเขียว ส่วนกระสือที่มลายูมีแสงสีเหลือง

ผีกระสือทั้งสองชาตินี้มีความกลัวหนามแหลมๆ จะเกี่ยวไส้มันตรงกัน!

วิธีป้องกันผีกระสือของไทยกับมลายูก็เหมือนกันด้วยครับ

เมื่อ รู้ว่ากระสือกลัวหนาม เพราะสังเกตจากการลอยตัวสูงๆ ของมัน คนไทยจึงใช้หนามไผ่มาสะรั้วสูงๆ เพื่อป้องกันมันเข้าเขตบ้าน เพื่อความรอบคอบยังปลูกกอไผ่และมะขามเทศเอาไว้รอบๆ อีกด้วย

สมัย โบราณ ตามชนบทที่เชื่อว่ามีผีกระสือมาป้วนเปี้ยน ก่อความเดือดร้อนในหมู่บ้าน ก็เอาหนามพุทรามาสะไว้ตรงใต้ถุนตรงร่องถ่าย หนัก-เบา เพื่อป้องกันภัยกับช่วยให้สบายใจขึ้น

มีคำพูดเก่าๆ ว่า "กันกระสือล้วงก้น"

มลายู เรียกผีกระสือว่า ฮันตู ปินังกาลัน มีรสนิยมเรื่องอาหารคล้ายคลึงกับผีปอบไทย คือชอบกินของสดๆ คาวๆ มากที่สุด โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หาไม่จะตกเป็นเหยื่อกระสือโดยง่าย

เขาใช้ไม้มีหนามป้องกันแบบไทยเรา ผมลืมชื่อเสียแล้ว แต่จำได้ว่ากิ่งและใบของมันมีลักษณะเหมือนลำเจียก โดยนำมาแขวนไว้ตามประตูหน้าต่างที่หญิงคลอดลูกใหม่ๆ หลับนอนอยู่ เชื่อว่าผีกระสือจะกลัวไม้ชนิดนี้เกี่ยวไส้มันจนเจ็บปวดทรมานและหลบหนี มนุษย์ไม่พ้น

ชาวมลายูอาจจะกลัวผีกระสือมากกว่าไทย หรือไม่กระสือมลายูก็ดุร้ายกว่าเรา เพราะเมื่อมีเด็กแรกเกิดเขาจะใช้แป้งเจิมหน้าผากเด็ก โดยเด็กชายเจิมเป็นรูปคล้ายสามง่าม ส่วนเด็กผู้หญิงเจิมเป็นรูปกากบาท

ผู้ เฒ่าผู้แก่บอกว่าเป็นความเชื่อมาแต่โบร่ำโบราณ ว่าผีกระสือเห็นแล้วจะหวาดกลัวจนรีบหนี (หมายถึงมันเล็ดลอดไม้หนามเข้าไปได้) อาจจะเข้าทำนองผีไทยกลัวผ้ายันต์ที่ลงคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์ ปิดไว้ตามประตูหน้าต่างก็เป็นได้

ถ้าใครประมาทหรือดูหมิ่นก็มักจะพบเคราะห์กรรมโดยไม่นึกฝัน!

ก่อน ที่ครอบครัวผมจะอพยพมาอยู่เมืองไทย มีผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วัน ญาติผู้ใหญ่ก็ไปเจิมหน้าเด็กและหาไม้หนามมาสะไว้รอบๆ ห้อง แต่เมื่อคล้อยหลังญาติผู้ใหญ่ที่อยู่คนละบ้าน ผัวของเธอเป็นคนมีการศึกษามาจากปีนังเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลและงมงายงมงาย สิ้นดี จึงลบแป้งที่เจิมหน้าลูกออก กระชากไม้หนามกันผีขว้างออกไปนอกบ้านจนหมดสิ้น

ตอนดึกคืนนั้นเอง ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงหวีดร้องโหยหวนของผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ต่างก็ชวนกันถือไต้ถือไฟออกไปดู

ทุก คนล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน ออกนามพระเป็นเจ้าปากคอสั่น เมื่อเห็นทารกโดนกัดทึ้งเหวอะหวะ ไส้พุงขาดกระจุยกระจาย เหม็นคาวเลือดคละคลุ้ง แม่ของเด็กร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ส่วนพ่อเด็กคนต้นเรื่องก็ฟุบหน้าลงร่ำไห้กับฝ่ามือทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจน ตัวโยน

เมื่อเขาดูหมิ่นความเชื่อของบรรพบุรุษ จึงถูกลงโทษทันตาเห็นเช่นนี้เอง

ที่มา : ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 19 กค 47

ความลับ จากห้องตรงข้าม

ความลับ จากห้องตรงข้าม

ก่อนหน้านั้น ณ มหาวิทยาลับมีชื่อแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ปีการศึกษา 2526 ผมอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว กำลังปรับสภาพให้เข้ากันได้กับมหาวิทยาลัยที่นี่

มันก็ไม่ง่ายนักกับการที่เคยอยู่บ้านสบาย ๆ ต้องมาอยู่เองตัวคนเดียว และรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตื่นยันนอน หอพักที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ แบ่งระบบหอชายมีอยู่ 7 หอ ผมได้อยู่หอที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นหอใหญ่ที่สุด แบ่งเป็นปีกซ้ายปีกขวา มีทางเดินเชื่อมตรงกลาง ข้างหน้าหอเป็นลานจอดรถ

ส่วนด้านหลังเป็นสนามกีฬาที่เหล่านักศึกษาของแต่ละหอจะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตกเย็นละก็ ครึกครื้นมากแต่พอเข้าไต้เข้าไฟแล้วนี่สิครับ เงียบเหงาวังเวงว้าเหว่สิ้นดี

เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยนะ มีกฏระเบียบควบคุมบังคับ จะเฮจะฮาอึกทึกครึกโครมดึก ๆ ดื่น ๆ เหมือนพวกหอพักเอกชนนอกมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้ ใครทนเงียบทนเหงาไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่หอนอก ส่วนตัวผมจำเป็นต้องอยู่หอใน เพราะว่าค่าหอนั้นถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง ค่ำลงก็เปลี่ยวเหงาเศร้าซึม คิดถึงพี่ป้าน้าอาบ้านช่องไปตามระเบียบแต่ก็ดีที่ยังมี'ไอ้แกว'เพื่อนผมเอง เป็นนักศึกษาอยู่เฟรชชี่ปีหนึ่งเหมือนผม ถึงจะอยู่คนละคณะ

แต่ก็เคยอยู่หอพักที่เจ็ดนี้ด้วยกันมาก่อน ตอนนี้มันย้ายไปอยู่หอนอก และก็เพราะมันนี่แหล่ะ ที่ทำให้ผมต้องถวายบังคมลาจากหอนี้ไป...ตลอดกาล คืนวันนั้นผมก็นั่งมองไอ้แกวสวาปามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปถึงสี่ซอง ผมก็ได้แต่พูดกับมันว่าไม่เข้าใจมันเลยว่ามันอดมากี่มื้อ

เพราะมันย้ายไปอยู่หอนอกนั่นแหล่ะ ไอ้อย่างเรา ๆ น่ะ หักค่าหอแล้วก็แทบจะใช้เดือนไม่ชนเดือน แล้วมันจะออกไปทำไม พร้อมแอบบ่นไม่ได้ว่าดีนะที่ยังมีเสบียงตุนไว้ มันก็บอกผมว่าไม่อยากออกหรอก แต่มีเหตุจำเป็น

ผมก็เลยถามมันว่าเหตุจำเป็นบ้าบออะไรของแก ค่าเช่าหอก็ค้างได้จนสอบมิดเทอมมีเวลาถมเถ หรือว่ามันจะขี้เหงา แต่ก็ไม่น่าเป็นเหตุผลของมัน แล้วมันก็บอกว่าถ้าอยากรู้นักก็ จะบอกให้ แล้วยังกวนเบื้องพระบาทโดยการพูดต่อว่า

แต่ว่าขออีกสองห่ออีกต่างหาก พอสวาปามเข้าไปเสร็จ มันก็บอกว่า แกรู้ใช่ไหมว่าฉันอยู่ห้อง 206 ผมก็เลยบอกว่า ห้อง 206 ห้องตรงข้ามทางเดิน ใช่ ทำไม มันก็เลยร่ายยาวเลย ว่าเคยได้ยินคอลเรียกนายไพโรจน์ห้อง 206 ลงไปรับโทรศัพท์มั้ย ผมก็ตอบว่าเคย แล้วก็ถามว่าไม่เห็นพามาแนะนำเลย มันก็เลยบอกว่าจะพามาได้ไง ห็ห้องมันเคยมีคนชื่อไพโรจน์ที่ไหน พอมีเสียงคอลขึ้นมาข้าก็จะตอบลงไปว่าไม่มีชื่อนี้ ก็ไม่ยอมเชื่อ โทรมาเรื่อย ๆ จนมีอยู่ครั้งนึง มันทนไม่ไหว ดิ่งลงไปรับสายเอง ปรากฏว่าเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ โทรมาหาลูกชายแก ข้าก็บอกแกไปว่าห้องที่แกโทรขึ้นไปน่ะไม่มีคนชื่อนี้ แกก็ไม่เชื่อ หาว่ากีดกันแกไม่ให้พบกับลูกชายแก มันเลยโกรธ เลยจวกกันไปซะ แกก็บอกว่าไม่ผิดแน่ แถมยังปากจัดมากแต่ยังไม่ใช่แค่นี้ ป้าแกจะโทรมาแค่วันศุกร์ตอนสามทุ่มเท่านั้น

วันอื่นเวลาอื่นแกไม่โทร หลังจากวันนั้น มันก็ไปถามเกี่ยวกับคนชื่อนี้ แต่นักศึกษาปีนี้ไม่มีใครชื่อไพโรจน์เลย จนหนักเข้า มันต้องไปค้นที่สำนักทะเบียนประมวลผล สรุปว่าไอ้คนนั้นเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แล้วก็พ้นสภาพนักศึกษาไปแล้วเพราะนักศึกษาปีหนึ่งที่ชื่อไพโรจน์น่ะ ตายไปแล้ว

เพราะไพโรจน์เป็นปีหนึ่งเมื่อปีที่แล้วแล้วโดนรุ่นพี่แกล้ง สาปให้เป็นลิง มันก็เจี๊ยก ๆ ไป แล้วรุ่งพี่ปีสามก็บอกว่าน้ำแข็งที่สั่งไว้น่ะได้แล้ว รุ่นพี่ปีห้าก็บอกให้ไพโรจน์ไปเอา โดยให้มันไปเจี๊ยก ๆ ตลอดทาง คนก็ฮากันตรึม พอตกเย็นไพโรจน์ก็ผูกคอตายในห้อง 206 ห้องที่มันเคยอยู่นั่นแหล่ะ แล้วมันก็บอกว่าไพโรจน์ยังไม่เท่าไหร่

แต่แม่ไพโรจน์น่ะ ตอนนั้นป้าแกนอนอยู่โรงหยาบาลและเสียชีวิตหลังจากลูกชายตายได้ไม่กี่ชั่วโมงด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ยังไม่ทันรู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองผูกคอตายเลยด้วยซ้ำ

ผมฟังไปมาก็หัวเราะ ถามมันว่านานไหมกว่าจะคิดได้ขนาดนี้ เล่นเอาซะกลัวเลย แล้วดันไปเห็นพอดี ว่าวันนี้วันศุกร์ และก็สองทุ่มห้าสิบสามแล้ว จะสามทุ่ม เลยลากมันลงไปเลย บอกว่าไง แกบอกว่าวันศุกร์สามทุ่มใช่ไหม ไปเลย

แล้วปรากฏว่ามีโทรศัพท์ดังจริง ๆ สามทุ่มเด๊ะ เข็มวินาทียังไม่เคลื่อนเลย พอรับก็แกล้งบอกว่าผมไพโรจน์ครับ เสียงที่พูดกับผมเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ เท่าที่สังเกตมันแก่มากจนผิดปกติ ระหว่างต่อปากต่อคำกันอย่างสนุกสนาน

ก็เห็นไอ้เจ้าแกวมันลุกลี้ลุกลน มันกลัวผมจับได้แหง ๆ ว่าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของมันแกล้งโทรมา แล้วจู่ ๆ มันก็สะกิดผมยิก ๆ แล้วก็ชูสายโทรศัพท์ที่ขาดให้ดูด้วยมือสั่นระริก ๆ ผมงี้ตาแถบถลน โยนโทรศัพท์โครมลงบนแป้น แล้วก็แหกปากก้องหอพักเลยครับ...

ตำนาน ผีแม่นาค พระโขนง

ภาพวาดจากนิมิตของพระอาจารย์หนู วัดสุทธาราม(วัดพระฉิม) ตอนที่พระอาจารย์อาพาธหนักนอนอยู่โรงพยาบาล ย่านาค ได้ไปช่วยรักษา จนท่านหาย ตั้งแต่นั้นมา พระอาจารย์ก็วาดภาพย่านาค เก็บไว้ที่พิพิทธภัณฑ์ ผลงานปฏิมากรรม ของท่านที่วัดฯ

เรื่อง ราวของแม่นาคพระโขนงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว เพราะมีหลักฐานว่าใน สมัยรัชกาลที่ ๕ มีคนรู้จักแม่นาคพระโขนงมากกว่าบุคคลสำคัญของบ้านเมืองเสียด้วยซ้ำ ที่กล่าวดังนี้ ก็

เนื่องจาก...สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าให้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิสกุล ฟังว่าในสมัยที่พระองค์ท่านยังเป็นนายทหารประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนั้นมี เจ้าพี่เจ้าน้องมาประทับคุยด้วยอยู่ใกล้วังกับประตูบ่อยๆ ทรงเห็นมีคนเข้าออกประตูวังเนืองแน่นอยู่เสมอ ก็ทรงคิดกันว่าน่าจะทดลอง ความรู้คนเหล่านั้นดูจึงทรงจดชื่อบุคคล ๔ คนคือ...

๑. ท่านขรัวโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี วัดระฆัง)
๒. พระพุทธยอดฟ้า (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑)
๓. จำไม่ได้ว่าใคร
๔. อีนาคพระโขนง
แล้วให้คน ไปคอยถามผู้ที่เข้าออกประตูวังทุกคนว่า ตามรายชื่อ
ทั้ง ๔ คนนั้น รู้จักใครบ้าง


ความ มีชื่อเสียงของแม่นาคได้ทำให้วัดมหาบุศย์ ริมคลองประเวศบุรีรัมย์ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กทม. พลอยเป็นที่รู้จักของคนทั้ง หลายด้วย ในฐานะเป็นวัดที่ฝังศพแม่นาค วัดมหาบุศย์นี้ พระศรีสมโภชน์ (พระศรีสมโพธิ) เจ้าคณะวัดสุวรรณฯ เป็นผู้สร้าง ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ในขณะที่ท่านยังเป็นพระมหาบุศย์

เรื่องราวของแม่นาคมีทั้งที่เป็น นิยายและภาพยนตร์ บุคคลแรกที่ทำให้ "แม่นาคพระโขนง" โด่งดังขึ้นมา ก็คือ...สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ พระองค์ท่านทรงนำเรื่อง 'อีนาคพระโขนง' ออกแสดงเป็นละครเวทีที่โรงละครปรีดาลัยจนเกรียวกราวได้รับการต้อนรับจากดู เป็นอย่างมาก จนต้องแสดงซ้ำอยู่ถึง ๒๔ คืน

ในนิยาย กล่าวถึงแม่นาคว่า.....ที่พระโขนง มีเศรษฐีสองสามีภรรยาชื่อตามั่นกับยายมี (หมี) ทั้งสองมีลูกสาวที่สวยที่สุดในย่านพระโขนง จึงมีหนุ่มๆมาติดพันหลายคน มากก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นแต่เพราะหนุ่มมากชอบประพฤติกรรมตัวเป็นนักเลงโต ตามั่นจึงพยายามกีดกันและตัดการหมั้นทองนาคให้กับเสี่ยย้งทองนาคจึงตัดสินใจ หนีตามหนุ่มมาก ในวันที่เสี่ยย้งยกขบวนขันหมากมา หลังจากได้ทองนาคมาเป็นภรรยา มากก็กลับตัวเป็นคนดี ขยันขันแข็งทำมาหากิน ทั้งสองจึงอยู่กันอย่างมีความสุข ต่อมาทองนาคตั้งท้อง ก็พอดีมากถูกเกณฑ์ทหาร มากต้องไปเป็นทหาร

จึงฝากลุงกับป้าชื่อตาหอยกับยายหมาให้ช่วยดูแลทองนาค(เพราะบิดามารดาของมาก เสียไปแล้ว จึงต้องมาฝากลุงกับป้าให้ช่วยดูแลภรรยา) ตาหอยยายหมาเป็นห่วงหลานสะใภ้ จึงรับทองนาคไปอยู่ด้วย ทองนาคเป็นคนขยันขันแข็งถึงกำลังท้องไส้ ก็ยังช่วยหาบขนมขายทุกวัน จนกระทั่ง... กลางดึกคืนหนึ่งทองนาคเกิดเจ็บท้องจะคลอดลูก ตาหอยจึงรีบไปตามหมอตำแย(หญิงที่ช่วยทำคลอดสมัยก่อน) ชื่อยายจั่น มาทำคลอดให้ แต่ยายจั่นไม่สามรถทำอะไรได้เพราะเด็กในท้องขวางตัว และทองนาคไม่มีลมเบ่ง ในที่สุด...

ทองนาคก็ขาดใจตายทั้งที่ลูกยังอยู่ในท้อง การตายลักษณะนี้เรียกว่า.....ตายทั้งกลม! ซึ่งเชื่อกันว่า ผีพวกนี้แรงทั้งแม่ทั้งลูก ในวันฝังทองนาค นายทุย(เพื่อนของมากที่ถูกเกณฑ์ทหารด้วยกัน) ได้กลับมาบ้านที่พระโขนง และมาทันช่วยหามศพทองนาคไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ หลังจากนั้น... พอตกดึก ชาวบ้านใกล้วัดมหาบุศย์ก็จะได้ยินเสียงทองนาคเห่กล่อมลูกอยู่ที่โคนต้น ตะเคียนใกล้คลอง ด้วยสำเนียงอันโหยหวน มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงผู้หญิงหยาดเย็นปลอบโยน ประสานด้วยเสียงหมาหอน... บรื๋อออ์!

ใน ตอนแรก... ทองนาคก็ไม้ได้ดุร้ายอะไรนัก จนกระทั่งลูกชายของนางไปเล่นกับเด็กวัดแล้วถูกเด็กวัดรังแกนางจึงหลอกพวก เด็กวัด ด้วยการยื่นมือยาวๆ จะจับเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ทำเอาพวกเด็กวัดจับไข้กันเป็นแถว แต่รายที่ทองนาคเล่นงานอย่างจริงจังก็คือ เสี่ยย้ง เพราะเสี่ยย้งเคยปลุกปล้ำนางมาครั้งหนึ่ง นางทองนาคจึงบีบคอเสี่ยย้งจนตาย เมื่อมากกลับมาที่พระโขนง ก็พบทองนาครอรับอยู่ที่บ้าน มากจึงไม่ยอมเชื่อ เมื่อใครต่อใครบอกว่าทองนาคตายแล้ว จนตาหอยผู้เป็นลุงต้องแนะนำว่า จะเชื่อหรือไม่ ก็ให้ทดลองดู เวลานางทองนาคตำน้ำพริก ให้แอบบีบมะนาวลงไป ถ้าผีเป็นผู้ทำก็จะมีหนอม มากแอบทดลองดู ก็ปรากฏว่าในน้ำพริกมีหนอนจริงๆ แต่เขายังไม่ยอมเชื่อ กระทั่งวันต่อมา ขณะที่ทองนาคตำน้ำพริก บังเอิญทำสากหล่นลงไปใต้ถุนบ้าน (บ้านที่ทองนาคกับมากอยู่เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง) นางก็เอื้อมมือยาวเฟื้อยลงไปเก็บสาก มากเห็นเข้า ถึงได้ยอมเชื่อว่าเมียของตนกลายเป็นผีไปซะแล้ว และหนีไปหานายทุยที่บ้าน

ทอง นาครู้ว่ามากหนี ก็ตามไปที่บ้านของทุย ทุยกับมากจึงต้องพากันหนีอีก นางก็ติดตามไม่ลดละจนทั้งสองหนุ่มวิ่งหนีฝ่าเข้าไปในดงหนาด(ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบใหญ่เป็นขน มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ ถือกันว่าผีกลัว) นางจึงไม่กล้าติดตามเข้าไป แต่ยังรออยู่นอกดงหนาด แล้วเรียกเสียงเย็นๆ ว่า พี่มากขาาา......!

จนรุ่งเช้า... นางจึงจำใจจากไปเพราะกลัวแสงแดด ส่วนสองหนุ่มที่หลบภัยอยู่ในดงหนาดนั้น สมภารคงวัดมหาบุศย์ออกบิณฑบาตผ่านมาพบเข้า ก็ช่วยพากลับไปที่วัด และให้พระเณรช่วยกันวงด้านสายสิญจน์ตั้งบาตรน้ำมนต์ให้พระมานั่งล้อมมากกับ ทุยแล้วสวดพระปริตร ตกกลางคืนทองนาคก็มาจริงๆแต่ไม่สามารถฝ่าวงสานสิญจน์เข้าไปหามากได้ ทำให้นางโกรธมาก และเที่ยวปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนที่พายเรือผ่านหน้าวัด จนไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้น และชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดก็ต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พระสงฆ์องค์เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย (คงเป็นเพราะชาวบ้านย้ายหนีไปหมด เลยไม่มีใครใส่บาตร พระสงฆ์เลยลำบาก)

ต้องย้ายไปอยู่วัดอื่น วัดมหาบุศย์แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เหลืออยู่แต่สมภารคงรูปเดียวข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยมพาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ

ข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยมพาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ

เรื่องแม่นาคในนิยายก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่มีคำเล่าลือบางกระแสว่าผู้ที่ปราบผีแม่นาค ไม่ใช่เณรจิ๋ว ทว่าเป็น...สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)วัดระฆัง เล่ากันว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผีแม่นาค ซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้านแถววัดมหาบุศย์เป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้คอพับคอย่น (เพราะถูกบีบคอ) ไปหลายราย

สมเด็จฯ โตจึง มาค้างที่วัดมหาบุศย์ แต่ท่านไม่ได้ทำพิธีอะไรมากมายอย่างหมอผีทั้งหลาย เพียงพอ ตกค่ำ ท่านก็ไปนั่งที่บริเวณหลุมศพแล้วเรียนนางนาคขึ้นมาสนทนากัน แต่ท่านจะพูดจากตกลงกับนางนาคว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ ลือกันว่า ท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากจากศพของนางนาคขัดกระดูกแผ่นนั้นจนเกลี้ยงเป็น มันแล้วนำกลับไปยังวัดระฆัง ลงยันต์กำกับและเจาะทำเป็นหัวเข็มขัด เวลาท่านจะไปไหนก็เอาคาดเอวติดไปด้วย นับตั้งแต่นั้น ผีแม่นาคที่เคยอาละวาดที่วัดมหาบุศย์พระโขนงก็สงบไป เมือไปอยู่ที่กุฏิสมเด็จโต เวลานั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ยังเป็นสามเณร อยู่ในกุฏินั้นด้วย ได้ถูกแม่นาครบกวน สามเณรก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สมเด้จฯ ท่าก็ร้องปรามว่านางนาคเอ๊ยอย่ารบกวนคุณเณรซี แม่นาคก็เงียบไป

แล้วนานๆ ก็ออกมาแหย่เล่นเสียครั้งหนึ่ง (แม่นาคคงจะเหงาน่ะ!) พอถูกปรามก็หยุดไป เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ครั้นสมเด็จฯ ท่าชรามากขึ้นก็มอบกระดูกหน้าผากนางนาคประทานหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ และให้สามเณร ม.ร.ว.เจริญ ไปอยู่ด้วย นางนาคยังคงเล่นสนุกเย้าแหย่สามเณรตามเคย หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ทรงกริ้วดุนางว่า... เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามากวนเณร คุณเณรจะได้ดูหนังสือหนังหานางนาคจึงเงียบไป... ต่อมา... หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งได้เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์(ทัต) ได้ประทานกระดูกหน้าผากนางนาคให้แก่หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) วัดบางปะกอก

ภายหลังหลวงพ่อพริ้ง ก็มอบกระดูกนางนาคแด่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กระดูกนางนาคจึงไปอยู่ในซองผีที่วังนางเลิ้ง (ในเวลานี้เป็นโรงเรียนพาณิชยการพระนคร) อยู่ที่วังนางเลิ้งไม่นานเท่าไรนางนาคก็มากราบทูลลา (คงจะหมดเวรหมดกรมไปเกิดใหม่ แต่จะเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะนางนาคอาจจะไปเกิดเป็นอมนุษย์ก็ได้และคำว่าอมนุษย์ก็ครอบคลุมกว้างมาก ตั้งแต่ ผี ปีศาจ ยักษ์ มาร นางไม้ เทวดา เป็นต้น หากให้สันนิษฐาน นางนาคน่าจเกิดในระดับที่สูงกว่าผีขึ้นไป)

และกระดูกนางนาคชิ้นนั้นก็อันตรธานหายไปไม่พบเรื่องราวอีกเลย เรื่องราวแม่นาคที่บางครั้งก็ดูจริงจังเกินกว่าเรื่องนิยายอย่างนี้ทำให้ เกิดความคิดขึ้นสองอย่าง.... บ้างก็ยังคงเชื่อว่า เป็นเรื่องนิยาย แต่มีมากกว่าบ้าง เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง! และฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนั้น ได้พยายามรวบรวมหลักฐานมายืนยัน เช่น...
ขุนชาญคดี (ปั่น) กำนันตำบลพระโขงสมัยนั้น ได้เล่าถวาย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (พระองค์เจ้ายุคลทิฆัมพร พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕) ว่า.....

นางนาคเป็นบุตรสาวของขุนศรีฯ นายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนงฝั่งตะวันตกข้างวัดมหาบุศย์(ตามหลักฐานนี้ แม่นาคไม่ใช่ลูกสาวของตามั่นยายมีแต่อย่างไร และไม่ใช่เด็กสาวกำพร้าด้วย) และเป็นสาวสวยที่จะหาสาวใดในย่านพระโขนงมาเทียบเคียงได้ยาก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์

เมื่อได้ทรงฟังเรื่องราวแล้ว ถึงกับรับสั่งว่า"สวยสดงดงามถึงอย่างนั้นทีเดียวรึ มิน่าเล่าเจ้าพวกหนุ่มๆ ถึงได้ตอมกันนัก และปีศาจก็มีฤทธิ์ร้ายแรงถึงเพียงนั้น"

และหลักฐาน ที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ บรรณาธิการหนังสือ "สยามประเภท " ตอบข้อข้องใจของคนอ่าน ลงในหนังสือเล่มที่ ๓ วันเสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ว่า.....
"จะเปน วันเดือนปีใดจำไม่ได้เปนคำพระศรีสมโภช (บุด) วัดสุวรรณเล่าถวายสมเด็จอุปัชฌาย์ว่า ในรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ อำแดงนาก บุตรขุนศรีนายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนง เปนภรรยานายชุ่ม
ตัวโขนทศ กรรฐ์ในพระจ้าวบรมวงศ์เธอจ้าวฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี อำแดงนากมีบุตรถึงอนิจกรรม นายชุ่มทศกรรฐ์สามีนำศพอำแดงนากภรรยาไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุด... ศพอำแดงนากฝังไว้ที่นั่นไม่มีปีศาลหลอกผู้ใด เปนแต่พระศรีสมโภชเจ้าของวัดมหาบุด เล่าถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า

นายชุ่มทศกรรฐ์เปนคนมั่งมี.... บุตรนายชุ่มมีชายหญิงหลายคน แต่ล้วนยังไม่มีสามีภรรยาทั้งสิ้น บุตรนายชุ่มหวงทรัพย์สมบัติของบิดา เกรงว่าบิดาจะมีภรรยาใหม่...พวกลุกชายจึงทำอุบายให้คนไปขว้างปาชาวเรือ ตามลำคลองริมป่าช้าที่ฝังศพอำแดงนากมารดา กระทำกิริยาเปนผีดุร้ายหลอกคน จนถึงช่วยนายชุ่มถีบระหัดน้ำเข้านาแลวิดน้ำกูเรือของนายชุ่มที่ล่มก็ได้ บุตรชายแต่งกายเปนหญิงให้คล้ายอำแดงนากมารดาทำกิริยาเปนผีดุร้ายให้คนกลัว ทั่วทั้งลำคลองพระโขนง... บุตรนายชุ่มทศกรรฐ์หลายคนได้เล่าถวายเสด็จอุปชฌาย์ว่า ตนได้ทำมายาเปนปีศาจอำแดงนากมารดาหลอกชาวบ้าน จริงดั่งพระศรสมโภชกราบทูลเสด็จอุปัชฌาย์ทุกประการ" (จากหนังสือ ตามรอยนางนากพระโขนง ของ ส.พลายน้อย)

(ตามความข้างต้นนี้ สามีของแม่นาคแทนที่จะเป็นนายมากกลับเป็นนายชุ่ม และวัดมหาบุดที่กล่าวถึงก็คือวัดมหาบุศย์นั่นเอง) แต่หลักฐานทั้งสองนี้ก็ยังคงขัดแย้งกันเอง จึงต้องล้วแต่ว่า ใครจะเขื่อในเรื่องไหนแต่อน่างไรก็ตาม เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ก็ยังคงเป็นตำนานรักอมตะประจำถิ่นพระโขนงมาตราบเท่าทุกวันนี้ และเพื่อเป็นการระลึกถึงแม่นาค ทางวัดมหาบุศย์จึงได้สร้างศาลแม่นาคพระโขนงขึ้นในบริเวณวัด เพื่อให้ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ได้แวะมากราบไหว้ย่านาคกัน

*(ชื่อ แม่นาค เขียนได้ ๒ อย่างคือ นาก วึ่งหมายถึงของมีค่า จำพวกทอง เงิน นาก และนาค ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมใช้ในรุ่นหลังๆ)

เหตุ ที่ผีแม่นาคเฮี้ยนหนัก เพราะเอาศพไปฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่ ก่อนหน้าที่ทิดมากจะมา ผีนางนาคไปร้องขอข้าวเณร และยื่นมือไป เณรเอามีดหมอหลวงตาฟันมือขาด หลวงตาเอาเณรไปไว้ในกุฏิ เอาใบหนาดสวม และนอนเฝ้า แต่ผีนางนาคก็มาหักคอเณรจนได้ ผีนางนาคกับลูกเที่ยวหลอกชาวบ้านและคนเดินทาง

รวมทั้งพระในวัดจนเป็นที่เลื่องลือ แม้หนุ่มๆ ผีนางนาคก็แปลงกายเป็นสาวสวยมาหลอกให้หลง พอรู้ว่าเป็นผีก็หนีขวัญหนีดีฝ่อ ทิดมากเองจะไปไหนก็ไม่ได้ นางนาคคอยติดตาม ในที่สุดต้องหาหมอผีมาเรียกวิญญานนางนาคและลูกใส่หม้อ นำไปถ่วงน้ำ แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ผีนางนาคจึงหายไป แต่ตำนานเรื่องแม่นาคพระโขนงก็ยังเล่าสืบกันมา จนถึงกับนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง แม่นาคพระโขนง ฉายให้คนชมติดใจไปตามๆ กัน

ตำนานผีฟ้า

ตำนานผีฟ้า

ชาวอีสานมีความเชื่อถือต่อ "ผี" มาก เพราะมีความเชื่อว่าเหตุที่เกิดเภทภัยเจ็บไข้ได้ป่วย น้ำท่วม ฝนแล้งนาล่ม หรือพืชพันธุ์ ธัญญาหารเหี่ยวแห้ง เป็นสิ่งที่เกิดมาจากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของผีสางเทวดาทั้งสิ้น พวกเขาจึงเซ่นไหว้บวงสรวงผีต่างๆ และมีสิ่งที่หน้าสังเกตคือ

ทุกครั้งที่มีการเซ่นไหว้เป็นประจำทุกๆ ฤดูกาล แล้วจะเกิดแต่ความสุขไปทั่ว ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็หาย ข้าวกล้าในนาก็อุดม สมบูรณ์ดี และการที่มีคติความเชื่อดังกล่าวนี้ ก็ทำให้เกิดประเพณีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับผีหลายลักษณะ และพีธีบูชา ผีฟ้า ก็เป็นอีกพิธีหนึ่ง

ผีฟ้า หรือ ผีแถน นั้น ชาวอีสานมีความเชื่อว่าเป็นเทวดามากกว่าเป็นผี ผีฟ้าจึงเป็นผีที่อยู่ระดับสูงกว่าผีชนิด อื่นๆ ส่วนแถนนั้น มีความเชื่อว่าเป็นคำเรียกรวมถึงเทวดา และแถนที่ใหญ่ที่สุดคือ "แถนหลวง" ซึ่ง เชื่อว่าเป็นพระอินทร์ ผีฟ้าหรือผีแถนนั้นแต่ละพื้นที่มีการเรียกที่แตกต่างกันไป และมีความเชื่อว่า ผีฟ้า นั้น

สามารถที่จะ ดับยุคเข็ญหรือทำลายล้างอุปสรรคทั้งปวงได้ และสามารถที่จะช่วยเหลือมนุษย์ที่เดือดร้อนได้ การที่มนุษย์เกิดการเจ็บป่วยนั้นเนื่องจากไปละเมิดต่อผี การละเมิดต่อบรรพบุรุษ

การรักษาต้องมีการเชิญผีฟ้ามาสิงสถิตอยู่ในร่างของคนทรง เรียกว่า "ผีฟ้า นางเทียน" ในการลำผีฟ้าของชาวอีสานนั้นมีองค์ประกอบ ทั้งหมด ๔ ส่วนคือ หมอลำ ผีฟ้า หมอแคน ผู้ป่วย และเครื่องคาย

หมอลำผีฟ้า จะ เป็นผู้หญิงที่มีอายุหรือบางท้องถิ่นจะเป็นผู้หญิงสาว โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย และจะต้องสืบเชื้อสายมาจาก กลุ่มหมอลำผีเท่านั้น แต่ที่จริงผีฟ้าสามารถสิงได้ทั้งหญิง ชาย และเด็ก โดยไม่จำกัดอายุ หมอแคน (หมอม้า)


จะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการเป่าแคนมาเป็นอย่างดี เพราะในการประกอบพิธีจะต้องใช้เวลานาน จะต้องมีการเป่าอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยนั้น จะต้องแต่งกายตามที่ได้กำหนดไว้ คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอ

ซึ่งตัดร้อยเป็นพวงทัดหู ผู้ป่วยนั้นสามารถที่จะฟ้อนรำกับหมอลำได้.. และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญครูอาจารย์ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วมาช่วยเหลือ รักษาผู้ป่วย

ในการรำผีฟ้านั้น จะมีความแตกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น เมื่อครูบาเก่าเข้าสิงร่าง ผู้ทำพิธีจะต้องสวมผ้าซิ่นทับผ้าที่สวมอยู่ (กรณีที่ผู้ป่วยเป็นชาย) หรือถ้าผู้ป่วยเป็นผู้หญิงครูบาจะสวมผ้าแพรหรือผ้าฝ้าย โดยสวมทับผ้านุ่งเดิม ซึ่งจะจัดไว้อยู่ใกล้เครื่องคาย

ในการรักษาทุกคนจะต้องฟ้อนรำ กันทุกคน และขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยต้องการดูการฟ้อนรำก็จะทำหน้าที่ต่อไป แต่ถ้าไม่ต้องการ ครูบาก็จะนำเครื่องคายขึ้นไปเก็บบนหิ้ง และจะมาร่วมกันรับประทานอาหาร

ความ เชื่อของชาวอีสานเชื่อว่า ผีฟ้าสามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายของมนุษย์ได้ การที่มนุษย์ตายไปขวัญจะออกจากร่าง เพื่อไปพบบรรพชน แต่ขวัญจะไม่แตกดับเหมือนร่าง เป็นเพียงการจากไปของร่างแต่วิญญาณยังคงอยู่กับผู้มีชีวิต สาเหตุที่มีการฟ้อนรำกันนั้น

ก็เพื่อเป็นการทำให้คนไข้มีพลังจิตในการต่อสู้กับการเจ็บป่วย มีอารมณ์ผ่อนคลาย ความตึงเครียด จิตใจปลอดโปร่ง ไร้วิตกกังวล และสร้างจิตสำนึกด้านความกตัญญู เป็นคตินิยมของวัฒนธรรมไทย ซึ่งได้สืบทอดต่อกันมาจนกลายเป็น ประเพณี จะเห็นว่าผีฟ้านั้น เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์ โดยมีคติเตือนใจว่า "คนไม่เห็น ผีเห็น"

สำหรับ ทุกวันนี้ การรำผีฟ้าดูจะเสื่อมคลายลงไป เพราะความเจริญทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สำหรับ ชาวอีสานบางกลุ่ม การกระทำพิธีกรรมเกี่ยวกับผีฟ้า ไม่ใช่เป็นสิ่งงมงายเหลวไหลหรือไร้สาระสิ้นเชิงเสียทีเดียว..

ตำนานปู่โสม เฝ้าทรัพย์

ตำนานปู่โสม เฝ้าทรัพย์

กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย

จนกระทั่ง เกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ

ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์ นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้ว ยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เฝ้าสมบัติของตนก็มี

เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึง ขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของวิญญาณ ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้น จริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมาย ภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่า พระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ "วัดกุฏิดาว" มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง

ลายแทงขุมทรัพย์มีค่า มหาศาลนี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านายระดับพระองค์เจ้า พระองค์หนึ่ง การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...จากใคร...แต่พิสูจน์ ได้แน่ชัดว่า ต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ

เพราะพระองค์ เจ้าพระองค์นี้ กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง "ไมน์ดีเทคเตอร์" ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝัง อยู่ใต้ดินจริงๆ

วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่า ที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคน

จึงได้ทำเรื่องเสนอ ต่อกรมศิลปากร ขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติ ท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503

น่า ประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าฝังอยู่แน่นอน แต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย

การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาว ในครั้งนั้น นอกจากจะพบความผิดหวังแล้ว พระองค์เจ้าฯ และพระสหายยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกหลายอย่าง

นั่นก็ คือท่านและพระสหายเห็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน

เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้น ทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ที่ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้น และโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้ มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน

คำ สาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน ทั้งๆ ที่มีสุขภาพร่งกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไป โดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน

ขุมทรัพย์ โบราณที่วัดกุฏิดาว ปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติ จะมาหลอกหลอนและสาปแช่ง

วัด กุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอก ต้องอาศัยถามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า "ผีดุ" อีกวัดหนึ่ง

"วัดมเหยงค์" นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐ แดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต

วัด มเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ในท่วงทำนองอันไพเราะ ดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้า และเยือกเย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบัน และจะดังขึ้นในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...


คำว่าปู่โสมนี้ ได้ยินมาบ่อยๆ ที่เรียกว่าปู่นี้คงเพราะมักมาเป็นรูปอย่างคนเฒ่าคนแก่ คงเป็นชายเสียส่วนมากจึงได้เรียกว่าปู่ ไม่เคยได้ยินว่ามีย่าโสมที่ไหน ส่วนคำว่าโสมนั้นคงเป็นคำโบราณ แปลว่าอะไรไม่แน่ใจ โดยรวมปู่โสมก็เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่ามีหน้าที่คอยเฝ้าสมบัติต่างๆที่คนโบราณแอบเอาไว้ตามถ้ำหรือกรุ สมบัติ ที่จริงเรื่องปู่โสมนี้เป็นเรื่องที่ดูยังคาบเกี่ยวกับวิชามาร ยาศาตร์(ฝังอาถรรพ์)อยู่มากในที่นี้เป็นการกล่าวถึงแต่คติเรื่องผีจึงขอคัด เอาแต่คติที่ดูจะเกี่ยวกับผีๆสางๆสักหน่อย

การอุบัติของปู่โสมนี้อาจ แยกเป็นสองอย่างหลักคือ เกิดจากอำนาจทางมารยาศาสตร์ ผูกขึ้นมาให้เป็นตัวตน คงคล้ายๆกับการผูกหุ่นพยน กับอีกอย่างหนึ่งคือเกิดจากคนตายคือผีตามความเข้าใจของคนทั่วไป ซึ่งอย่างหลังนี้ดูจะเกี่ยวกับปู่โสมที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่หน่อย ปู่โสมที่เกิดจากอำนาจคนตายนี้ ก็ยังแยกออกเป็นแบบอีกคือ เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติกับเขาทำให้เกิด

อย่างแรกที่ว่าเกิดกันตาม ธรรมชาตินี้คือเกิดจากคนที่เป็นจ้าวสมบัติเมื่อตาย ลงจิตยังคงหลงยึดมั่นในสมบัตินั้นเลยทำให้ไม่ได้ไปเกิด กลายเป็นผีเฝ้าสมบัติ เรื่องอย่างนี้ได้ยินกันบ่อยไป เช่นเคยได้ยินว่ามีนักเล่นของเก่าไปหาซื้อเตียงโบราณมาพอจะเอาเตียงมานอน เข้าจริงๆก็โดนเจ้าของเตียง(ผี)มาเล่นงานตั้งแต่คืนแรก อย่างนี้คงเป็นเพราะวิญญาณยังคงหวงเตียงนั้นอยู่เลยไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ ฟังดูอาจตลกดีแค่เตียงเก่าๆยังหวงอะไรหนักหนา แต่มาคิดดูเรื่องการหวงข้าวของนี้เป็นอัตตาที่เข้มข้นอย่างหนึ่ง เช่นของของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาแอบใช้ คนรักของเราๆก็ไม่อยากให้ใครมาเกาะแกะ แต่อย่างนี้ยังดูไกลจากผีปู่โสมของเราอยู่สักหน่อย

การเกิดผีปู่โสม อีกอย่าหนึ่งก็คือเป็นการกระทำให้เกิดคือเจ้าตัวก็ไม่ได้ อยากเกิดเป็นผีปู่โสมแต่มีใครบางคนทำให้เป็น ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม อย่างนี้เองจึงเป็นผีปู่โสมเฝ้าสมบัติของแท้ เรื่องเอาคนมาฆ่าแล้วตรึงวิญาณให้เฝ้าสมบัตินี้มักได้ยินบ่อยๆ เป็นความเชื่อของลัทธิมารยาศาสตร์

คนเล่นของถึงฆาต

สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไ

ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ

ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม

ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง

ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม

ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระ บูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย

"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก

พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่าสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมีย ของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า

อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!

เรื่องจาก ข่าวสด