วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ผีกระสือในมลายู

ผีกระสือในมลายู
"นายนุ้ย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเรื่องผีกระสือในมลายู

เมื่อเด็กๆ ผมอยู่ในมลายู(ปัจจุบันคือมาเลเซีย) ได้ฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง ผีๆ สางๆ หลายเรื่อง กระทั่งย้ายมาอยู่ในเมืองไทยแล้วจึงได้รู้ว่า คนในย่านนี้มีความเชื่อเรื่องผีคล้ายๆ กันแทบไม่น่าเชื่อ คนไทยเชื่อว่าเสือสมิงมีจริง สาเหตุมาจากกินคนเข้าไปแล้วเกิดติดใจในเนื้อมนุษย์ คงจะติดใจจนจับกินหลายคน วิญญาณผู้ตายสิงอยู่นานๆ ก็แก่กล้าถึงขนาดทำให้เสือแปลงร่างเป็นคนได้ตามใจชอบ


ไม่ ว่าผู้ใหญ่หรือผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ (ที่เคยตกเป็นเหยื่อมาก่อน) เพื่อล่อหลอกให้เหยื่อรายใหม่ตายใจ ได้โอกาสก็ตะครุบกินอย่างง่ายดาย

ที่ มลายูก็เชื่อเรื่องเสือสมิงแบบเดียวกับเมืองไทยนั่นแหละครับ มีพวกนายพรานกับพวกหาของป่า รวมทั้งพวกลูกหาบที่รอดตายกลับมาเล่าตรงกันว่าเคยพบเสือสมิงมาขบหัวคนไปกิน เห็นเป็นคนอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ คำรามโฮก ขย้ำคอหอยคนชะตาขาดตายคาที่

คนอื่นๆ ก็ตกใจแทบเสียสติ ทั้งร้องทั้งวิ่งหนีจนป่าราบไปตามๆ กัน

"ผีกระสือ" ก็เชื่อตรงครับ

ไทย เราเชื่อว่าผีกระสือจะออกหากินตอนกลางคืน อาหารคืออาจมและของสดๆ คาวๆ คล้ายผีปอบ บางแห่งก็เชื่อว่าผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ๆ มีน้ำคาวปลา เลือดสดๆ ด้วย ผีกระสือได้กลิ่นเลือดก็จะมาหากิน ที่หนักกว่านั้นก็คือกินเด็กทารกแรกเกิดนั่นเสียด้วย

เมื่อกินแล้วก็จะเช็ดผ้าที่ใครตากค้างคืนไว้ รุ่งเช้ามาเห็นเข้าก็รู้แน่ว่าในย่านนั้นมีผีกระสือ

สิ่ง ที่ตรงกันอีก 2-3 อย่างก็คือ ผีกระสือจะเป็นผู้หญิง มีทั้งสาวและแก่ ข้อสำคัญคือมีแต่หัวกับตับไตไส้พุง ล่องลอยไปในอากาศพลางส่องแสงวูบวาบไปด้วย จะมีแตกต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่กระสือไทยมีแสงสีเขียว ส่วนกระสือที่มลายูมีแสงสีเหลือง

ผีกระสือทั้งสองชาตินี้มีความกลัวหนามแหลมๆ จะเกี่ยวไส้มันตรงกัน!

วิธีป้องกันผีกระสือของไทยกับมลายูก็เหมือนกันด้วยครับ

เมื่อ รู้ว่ากระสือกลัวหนาม เพราะสังเกตจากการลอยตัวสูงๆ ของมัน คนไทยจึงใช้หนามไผ่มาสะรั้วสูงๆ เพื่อป้องกันมันเข้าเขตบ้าน เพื่อความรอบคอบยังปลูกกอไผ่และมะขามเทศเอาไว้รอบๆ อีกด้วย

สมัย โบราณ ตามชนบทที่เชื่อว่ามีผีกระสือมาป้วนเปี้ยน ก่อความเดือดร้อนในหมู่บ้าน ก็เอาหนามพุทรามาสะไว้ตรงใต้ถุนตรงร่องถ่าย หนัก-เบา เพื่อป้องกันภัยกับช่วยให้สบายใจขึ้น

มีคำพูดเก่าๆ ว่า "กันกระสือล้วงก้น"

มลายู เรียกผีกระสือว่า ฮันตู ปินังกาลัน มีรสนิยมเรื่องอาหารคล้ายคลึงกับผีปอบไทย คือชอบกินของสดๆ คาวๆ มากที่สุด โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หาไม่จะตกเป็นเหยื่อกระสือโดยง่าย

เขาใช้ไม้มีหนามป้องกันแบบไทยเรา ผมลืมชื่อเสียแล้ว แต่จำได้ว่ากิ่งและใบของมันมีลักษณะเหมือนลำเจียก โดยนำมาแขวนไว้ตามประตูหน้าต่างที่หญิงคลอดลูกใหม่ๆ หลับนอนอยู่ เชื่อว่าผีกระสือจะกลัวไม้ชนิดนี้เกี่ยวไส้มันจนเจ็บปวดทรมานและหลบหนี มนุษย์ไม่พ้น

ชาวมลายูอาจจะกลัวผีกระสือมากกว่าไทย หรือไม่กระสือมลายูก็ดุร้ายกว่าเรา เพราะเมื่อมีเด็กแรกเกิดเขาจะใช้แป้งเจิมหน้าผากเด็ก โดยเด็กชายเจิมเป็นรูปคล้ายสามง่าม ส่วนเด็กผู้หญิงเจิมเป็นรูปกากบาท

ผู้ เฒ่าผู้แก่บอกว่าเป็นความเชื่อมาแต่โบร่ำโบราณ ว่าผีกระสือเห็นแล้วจะหวาดกลัวจนรีบหนี (หมายถึงมันเล็ดลอดไม้หนามเข้าไปได้) อาจจะเข้าทำนองผีไทยกลัวผ้ายันต์ที่ลงคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์ ปิดไว้ตามประตูหน้าต่างก็เป็นได้

ถ้าใครประมาทหรือดูหมิ่นก็มักจะพบเคราะห์กรรมโดยไม่นึกฝัน!

ก่อน ที่ครอบครัวผมจะอพยพมาอยู่เมืองไทย มีผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วัน ญาติผู้ใหญ่ก็ไปเจิมหน้าเด็กและหาไม้หนามมาสะไว้รอบๆ ห้อง แต่เมื่อคล้อยหลังญาติผู้ใหญ่ที่อยู่คนละบ้าน ผัวของเธอเป็นคนมีการศึกษามาจากปีนังเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลและงมงายงมงาย สิ้นดี จึงลบแป้งที่เจิมหน้าลูกออก กระชากไม้หนามกันผีขว้างออกไปนอกบ้านจนหมดสิ้น

ตอนดึกคืนนั้นเอง ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงหวีดร้องโหยหวนของผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ต่างก็ชวนกันถือไต้ถือไฟออกไปดู

ทุก คนล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน ออกนามพระเป็นเจ้าปากคอสั่น เมื่อเห็นทารกโดนกัดทึ้งเหวอะหวะ ไส้พุงขาดกระจุยกระจาย เหม็นคาวเลือดคละคลุ้ง แม่ของเด็กร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ส่วนพ่อเด็กคนต้นเรื่องก็ฟุบหน้าลงร่ำไห้กับฝ่ามือทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจน ตัวโยน

เมื่อเขาดูหมิ่นความเชื่อของบรรพบุรุษ จึงถูกลงโทษทันตาเห็นเช่นนี้เอง

ที่มา : ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 19 กค 47

1 ความคิดเห็น: