วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

ขึ้นจากคลอง


"ต้อยติ่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคลองจั่น

เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ดิฉันเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนชื่อต้อย ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัดเหมือนกัน เคยได้ยินแม่ค้าแถวนั้นเล่าว่าหอพักผีดุ เพราะมีหนุ่มสาวฆ่าตัวตายหลายคนแล้ว ไม่รู้ว่าจะหลอกให้เรากลัวผีหรือเปล่า?

เรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้นั้น ดิฉันรู้สึกเฉยๆ ค่ะ จะว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ กลัวหรือไม่กลัวก็ยังพูดไม่ได้เต็มปาก...ผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน! วันๆ ก็มีปัญหาของตัวเองยุ่งยากพออยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องค่าใช้จ่ายที่ทางบ้านส่งมาให้เดือนละครั้ง บางทียังมีปัญหากับเพื่อนฝูงอีกต่างหาก...

ไม่มีเวลาเทกแคร์ผีนะคะ ขอบอก!

อยู่หอมาตั้งหลายเดือนก็ยังไม่เคยถูกผีหลอกซักที ต้อยก็เหมือนกัน เธอพูดขำๆ ว่า...ผีคงไม่อยากยุ่งกับเราหรอก เพราะรู้ว่าเราไม่กลัวมัน ขืนมาหลอกแล้วเราทำเฉยๆ ผีมันก็กลัวหน้าแหก หมอไม่รับเย็บเป็นเหมือนกัน

ในที่สุดก็เจอเรื่องสยองขวัญเข้าจนได้! แต่ไม่ใช่เจอในหอพักนะคะ ดิฉันขอเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกดังนี้ค่ะ

ที่แฟลตคลองจั่นใกล้ๆ กับหอพักเรา มีตลาดนัดคืนวันพฤหัสฯ กับวันอาทิตย์ พ่อค้าแม่ขายเขามากันตั้งแต่ตอนเย็นแล้วค่ะ พอใกล้ค่ำก็มีลูกค้าหนาตาขึ้นทุกที เลือกซื้อหาของกินของใช้เยอะแยะ ไม่ว่าปลาเผา หมูปิ้ง เนื้อเค็มกับข้าวเหนียว ลาบส้มตำ โรตี ขนมใส่น้ำแข็ง ผลไม้พวกกล้วยหอมกล้วยไข่ ส้มและมังคุด หอยแครงกับหอยแมลงภู่ลวก หัวหมูลวกจิ้มพริกน้ำส้ม น้ำพริกผักต่างๆ ทั้งสดและแห้งดูลานตาไปหมด

เสื้อผ้าถูกๆ มีทั้งใหม่และมือสอง เครื่องใช้ในครัว เครื่องสำอางราคาย่อมเยา...ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอมกันแน่?

สบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน แป้งทาตัว น้ำอบน้ำหอม ยาแก้สิวฝ้า ไวท์เท็นนิ่ง ยาแก้เบาหวาน ยาชักมดลูก แก้โรคกษัยไตพิการ ยาลดความอ้วน ยาเจริญอาหาร...สมุนไพรดองเหล้า พวกโด่ไม่รู้ล้ม พญาเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรง ที่เชื่อว่าเป็นยาโป๊ววางขายแบกะดินก็มีค่ะ

ขนาดวิทยุ ไฟฉาย หวี ซองมือถือ หนังสือการ์ตูน...ซีดีทั้งหนังและเพลงก็ยังมี!

แหม! บอกกล่าวยืดยาวไปหน่อย แต่อยากให้เห็นภาพน่ะค่ะว่ามีของขายมากมายจริงๆ เรามักจะไปตลาดนัดตอนค่ำวันอาทิตย์ พวกสาวๆ นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อเกาะอกก็มาเดินโชว์โฉมไม่ใช่น้อย แต่ดิฉันกับต้อยนุ่งยีนส์สวมเสื้อยืดหลวมๆ จะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาใคร

ออกจากหอก่อนถึงตลาดนัด มีสะพานข้ามคลองที่เรือขุดลอกมักจะทำงานล่วงเวลา บางวันก็มีเด็กๆ เกาะราวสะพานหยุดดูเรือขุดลุกคลองทำงาน...เราซื้อของที่ตั้งใจไว้ก่อน ไม่ต้องเสียเวลาเดินดูนั่นดูนี่ เมื่อได้ของที่ต้องการก็กลับได้เลย

ค่ำวันอาทิตย์หนึ่งก็เจอดีเข้าอย่างจัง!

ขณะที่เราจะเดินข้ามสะพานนั่นเอง นอกจากเด็กๆ ที่วิ่งไปมาแล้ว ดิฉันเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งสวมชุดนอนสีเหลืองยืนมองเหม่อไปที่เรือขุด ลมหนาวค่อนข้างแรงจนผมเผ้ากับชายผ้าปลิวไสว...แนบเนื้อน่าใจหายใจคว่ำ

เมื่อก้าวขึ้นสะพานก็ได้ยินเสียงเฮๆ ดังมาจากเรือขุดนั้น หันไปมองก็เห็นคนงานหนุ่มๆ กำลังจ้องมอง โบกไม้โบกมือมาที่ราวสะพาน เชื่อว่าเขาคงเห็นภาพชุดนอนบางๆ แนบเนื้อของเธอผู้นั้นเป็นแน่ เลยเฮฮากันตามประสาผู้ชาย...ว่าแต่เธอแต่งตัวโป๊ๆ ออกมาโชว์ทำไมก็ไม่รู้...ต้อยบอกเสียงดุๆ ว่า อย่ามองๆ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราสนใจ...

ดิฉันหันกลับ...แต่ไม่ปรากฏร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีเหลืองนั่นแล้วค่ะ!

เอ...หายไปไหนเร็วจริง? ถามต้อยว่าเห็นหรือเปล่า เธอกลับย้อนถามว่าเห็นใคร? เล่นเอาดิฉันชักงง จะว่าตาฝาดก็ไม่ใช่แน่เพราะมองอยู่ตั้งนาน ขนาดเห็นผมเผ้ากับชุดนอนปลิวไสวก็แล้วกัน! จนกระทั่งลงสะพานจะเลี้ยวเข้าตลาดนัด...

ไม่ทราบว่ามีอะไรดลใจให้ดิฉันหันไปมองบนสะพานอีกครั้ง...คุณพระช่วย! ผู้หญิงคนนั้นกำลังหันมามองช้าๆ จนนัยน์ตาเราสบกัน...แล้วเธอก็เผยอยิ้มทีละนิดๆ จนเหยียดกว้างเต็มหน้า...

ม่านตาดิฉันพร่าพราย โลกทั้งโลกหมุนคว้าง สมองเหมือนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เท้าหลุดพื้นขณะร้องกรี๊ด...ต้อยหันมาคว้าแขนไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่ดิฉันจะล้มฟาดลงไป

ขอกลับหอค่ะ! หัวใจเต้นกระหน่ำเหมือนตีกลอง...ต้อยรู้เรื่องเข้าก็หน้าซีดขาว...เรามารู้ทีหลังว่าเคยมีผู้หญิงที่อยู่หอแถวนั้นโดนฆ่าหมกคลองในชุดนอน เวลาผ่านไปเกือบปีแล้วแต่วิญญาณเธอยังวนเวียนอยู่ที่เดิมค่ะ?!

ใบหนาด จาก นสพ.ข่าวสด

ขนหัวลุกเจ้าของเขาหวง


"ลักษมณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีบ้านผีเรือน

บ้านดิฉันมีผีค่ะ! เป็นผีที่ดุและเฮี้ยนมากที่สุดเลยด้วย!!

ดิฉันอยู่บ้านนี้มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่อายุได้สามขวบแน่ะค่ะ พ่อแม่ท่านสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจริงๆ ราวยี่สิบปีก่อน คุณพ่อแปลงโฉนดเป็นสองแปลงให้ดิฉันกับพี่ชายคนละครึ่ง ท่านอยากให้เราอยู่รวมกันในบ้านนี้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่

ตอนที่เรายังเด็ก เรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แต่พอพี่ชายแต่งงานเมื่อสิบปีที่แล้วสิ่งที่เคยง่ายก็กลายเป็นยากขึ้นมาทันที!

พี่สะใภ้ของดิฉันยึดว่าสมบัติของสามีคือสมบัติของเธอด้วย เธอวาดโครงการไว้ว่าจะขายที่ดินที่เป็นส่วนของพี่ชายดิฉัน สาเหตุเพราะเธอจงเกลียดจงชังบ้านหลังนี้มากนั่นเอง

คนเรานี่ก็แปลกนะคะ เมื่อก่อนตอนเป็นแฟนกับพี่ชายดิฉัน พวกเรารักเธอผู้นี้ไม่น้อยด้วยความที่เธออ่อนหวาน เรียบร้อย จะมีข้อเสียตรงที่เธอขี้น้อยใจ เช่น เราพูดเล่นพูดแซวกันเธอก็จะหัวเราะไปกับเรา แต่พอลับหลังเธอไปร้องห่มร้องไห้ คิดมากกับคำพูดนั้นๆ พี่ชายต้องปลอบแทบแย่ แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง...ตอนหลังๆ เราเลยไม่กล้าพูดเล่นกับเธออีกต่อไป!

พอแต่งงานแล้วเธอก็มาอยู่ที่บ้านนี้กับเราค่ะ ดูๆ เธอก็มีความสุขดี แต่มันฝืนๆ ยังไงพิกล เราพอจะดูออกว่าเธอไม่ค่อยมีความสุขนัก ดูเธอเครียดๆ ทุกอย่างระหว่างพวกเรากับเธอ มันผิดไปจากก่อนที่เธอจะมาเป็นสะใภ้

วันหนึ่ง หลังจากแต่งงานได้แค่สองสามวัน ยังไม่ทันฮันนีมูนเลย เธอก็ขอย้ายห้องนอนด้วยเหตุผลที่ว่า...เธอถูกผีหลอก!

เกือบทุกครั้งที่เข้านอน เธอเล่าว่าจะมีกลุ่มคนเกือบสิบคน ล้วนเป็นคนแก่ทั้งหญิงและชาย มายืนล้อมเตียง แล้วก้มลงมองเธออย่างโกรธเคืองจนเธอกลัวมาก

เราฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า คนแก่เหล่านั้นจะเป็นใครไปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่วิญญาณปู่ย่าตายายของเรา ซึ่งท่านยังปกป้องคุ้มครองเราอยู่ในบ้านนี้...อาจจะมีเจ้าที่เจ้าทางและผีบ้านผีเรือนด้วยก็ได้ แต่น่าสงสัยว่าทำไมพวกท่านไม่ต้อนรับสะใภ้ใหม่ กลับมาทำให้เจ้าหล่อนกลัวแทบตายแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม พี่สะใภ้ก็ทนอยู่จนกระทั่งตั้งครรภ์ และได้ลูกสาวคนแรก เธอไม่ยอมเลี้ยงลูกเอง ต้องให้คุณแม่ดิฉันจ้างคนเลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลตั้งแต่ยายหนูยังแบเบาะ ส่วนพี่สะใภ้ก็แต่งตัวสวยออกไปทำงานและกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ซึ่งพวกเราไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรให้ขุ่น เคือง เธอเองซะอีกที่ดูอึดอัดใจ จนในที่สุดก็ขอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอ

เวลาล่วงเลยไปหลายปี จนกระทั่งเราเริ่มรู้ว่าเธออยากขายที่ดินส่วนที่เป็นของพี่ชายเพื่อจะได้เงินก้อนโต แต่ติดอยู่ตรงที่พ่อแม่เรายังมีชีวิตอยู่ เรารู้เพราะพี่ชายดิฉันมาปรับทุกข์ให้ฟังว่าเธอข่มขู่ ออดอ้อนสารพัดว่าเธอไม่มีความมั่นคงในชีวิต ถ้าขายบ้านได้เงินละก็ เงินก้อนนี้เธอจะเอาเก็บไว้ให้ลูก

เมื่อวันแม่ที่ผ่านมานี้ เธอมากราบคุณแม่ดิฉันพร้อมกับสามีและลูกสาว แล้วอยู่กินอาหารเย็นด้วยกัน

ค่ำแล้ว เธอเตรียมตัวจะกลับ แต่ก่อนกลับก็ขอไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย

ไม่ถึงห้านาที เราก็ได้ยินเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวมาก เรากรูกันไปยังหน้าห้องน้ำที่เป็นต้นเสียง...พี่สะใภ้ดิฉันร้องกรี๊ดๆ อย่างคนเสียสติ ไม่ยอมเปิดประตู จนคุณแม่ดิฉันต้องไปหยิบกุญแจมาไขเข้าไป และพบว่าเธอนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง เอามือปิดหน้าปิดตา ตัวสั่นด้วยความกลัวสุดขีด

หลังจากปลอบโยนกันอยู่นานมาก เธอก็เล่าว่าขณะที่ล้างไม้ล้างมือและส่องกระจกนั้น ภาพเธอในกระจกค่อยๆ เปลี่ยนไป...หน้าเขียวและเหี่ยวย่นลงจนดูเหมือนคนแก่ชัดๆ

ตอนแรกนึกว่าตาฝาด แต่ขณะกำลังสงสัย เงานั้นก็โผล่พรวดออกมาจากกระจกจนเธอผงะ ถอยหลังกรูด หงายหลังล้มลงตรงมุมห้อง วินาทีนั้นเอง ไฟในห้องน้ำก็ปิดๆ เปิดๆ แล้วก็ดับมืดไปเลย จนมีเสียงไขกุญแจ ไฟก็สว่างตามเดิม

พวกเราไม่เห็นมีสิ่งใดในห้องน้ำผิดปกติไปเลยสักนิดเดียว แต่ดิฉันเชื่อในสิ่งที่เธอเล่าค่ะ...เชื่อว่าผีปู่ย่าตายาย หรือผีบ้านผีเรือนคงเกลียดชังเธอมากๆ

เกลียดเพราะเธอคิดไม่ดีกับเรา!

เกลียดเพราะเธอจะขายบ้านขายที่ดินนี้!!

พี่สะใภ้พูดกับดิฉันในภายหลังว่า อย่าอยู่ที่นี่เลย ผีดุเหลือเกิน! เธอถามว่าไม่กลัวผีรึไง? ดิฉันบอกเธอว่าไม่กลัว กลับรู้สึกอุ่นใจด้วยซ้ำ! เธอค้อนดิฉันอย่างเคืองขุ่น ดิฉันไม่รู้ว่าเธอรู้ตัวไหมว่าผีเกลียดเธอเพราะอะไร?

แต่ดิฉันมั่นใจว่าตราบใดที่เธอยังคิดจะทำลายบ้านนี้ ผีที่น่าสยดสยองก็จะตามหลอกตามหลอนเธอต่อไปไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน!

ขนหัวลุกภาพผีสิง

โจ้ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพถ่าย

คุณคงเคยได้ยินเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณมามากแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและชอบดูรูปภาพประเภทนี้ มันน่าทึ่ง น่ากลัวและน่าสยดสยองจริงๆ วันหนึ่งผมก็ได้ประสบพบเจอมันเข้ากับตัวเองมันยิ่งกว่าสยองอีกครับ เพราะผีในภาพมันตามผมกลับมาบ้านด้วย!

เรื่องนี้เริ่มต้นในวันที่ผมไปเที่ยวน้ำตกที่นครนายกกับเพื่อนๆ ผมเองเป็นต้นคิดและนัดแนะกับเพื่อนฝูงอีกเกือบสิบคนไปเที่ยว....พวกเราเรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน... สนิทกันมาก...มากจนไม่ต้องรอให้ถึงวันคืนสู่เหย้า เราก็นัดพบกันได้เป็นฝูง

พวกเราทั้งหญิงและชายออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะกะว่าจะไปเช้า-เย็นกลับ...วันนั้นผมขับรถตู้ไปเองด้วย ผมมีรถตู้ครับ บริการเพื่อนๆ จนถึงบ้านทุกคน นับว่าสะดวกสบายดีมากๆ พวกผู้หญิงทำอาหารปิกนิกเพียบพร้อม น้ำจืด น้ำหวาน น้ำขมมีครบ

ที่น้ำตกนั้นคนน้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ เราจึงสำเริงสำราญกันเต็มที่...พวกเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถ่ายจากมือถือและทั้งกล้องดิจิตอล ผมเพิ่งซื้อกล้องใหม่มาอันหนึ่ง ราคาหมื่นกว่าๆ กำลังเห่อครับ

ยามบ่าย อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่เราเล่นน้ำกันจนค่อนข้างหนาว และเราก็นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ครึ้ม ลมแรง แดดสวยใสเชียว

ช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆ เริ่มเหนื่อย พักความโลดโผนโจนทะยานกันชั่วครู่ บางคนนอนผึ่งพุงจนเคลิ้มหลับ พวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างลืมโลก ผมปลีกตัวลัดเลาะไปตามแนวหินและร่มไม้ พร้อมกับหันกล้องถ่ายรูปตัวเองบ้าง ถ่ายวิวสวยๆ บ้าง

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมยืนพิงก้อนหินใหญ่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ใบสวย เห็นน้ำตกอยู่ข้างๆ แอ่งน้ำตรงนั้นลึกแค่เข่า น้ำเย็นเฉียบ ผมหันกล้องเข้าหาตัวเองและกดชัตเตอร์ เสร็จแล้วก็กดดูภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จนี้ อือม์...ไม่หล่อแฮะ ลบดีกว่า!

แต่เดี๋ยวก่อน...นั่นอะไรน่ะ?

ในภาพนั้น เห็นใบหน้าผมกำลังเก๊กหล่อ แต่มันดูขมึงทึงไปหน่อย นั่นไม่สำคัญ...ด้านหลังผมต่างหากที่น่าสนใจ!

เยื้องไหล่ซ้ายของผม ลึกเข้าไปในดงไม้ มีใบหน้าของผู้หญิงผมยาวปรากฏขึ้น!

ผมหันขวับไปมองตรงจุดนั้น แต่ไม่เห็นใครเลย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ผมกลับมาจ้องดูในภาพ... มันมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าผู้หญิงที่ปรากฏไม่ใช่คน! ลักษณะเธอเหมือนภาพโปรโมตหนังผีไม่มีผิด ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าดำมอมแมมด้วยคราบเลอะเทอะ ซึ่งผมแน่ใจว่ามันคือเลือด! ดวงตาไร้แววของเธอเบิ่งค้าง ปากอ้าคล้ายกำลังคราง

มีแววของความเจ็บปวด หวาดกลัวสุดขีดและความตาย...ยิ่งดูยิ่งชัด!

ผมเผ่นไปให้เพื่อนๆ ดู พวกมันสติแตกกันกระจาย ไอ้ที่เมาก็หายเมา ที่ง่วงเหงาก็ตื่นโพลง พวกผู้หญิงลืมไปแล้วว่ากำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ มันทำให้เราฮือฮามาก ถามหาที่มาที่ไปของผู้หญิงในรูปกันให้ควั่ก

ในที่สุดก็รู้จากแม่ค้าแถวๆ ปากทางว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีผู้หญิงมาโดดน้ำตกตาย ท่าทางเป็นชาวบ้าน แต่มาจากไหนไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังหาญาติไม่พบ

เธอมาตายคนเดียว เจ้าหน้าที่ห่อศพที่ยับเยินของเธอไป...

ผมกลับบ้านด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ...เอาละซิ! เจอเข้ากับตัวเองแล้วทีนี้ เป็นไงล่ะ ผมไม่ได้ลบรูปนั้นทิ้ง แต่เอามาให้พ่อแม่และญาติพี่น้องดู เป็นที่ตื่นเต้นฮือฮากันไปทั่ว

กล้องตัวนั้นผมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านปลายเตียง มันสงบนิ่งอยู่ในนั้นอย่างน่าพรั่นพรึง...เพราะมีรูปผมกับผีติดอยู่!

คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทีแรกก็คิดว่าฝันไป แต่มันชัดมากเหมือนเธอนั่งคร่ำครวญอยู่ในตู้นั้นจริงๆ ผมผวาเลยครับ...รีบเปิดไฟแต่ไม่กล้าเปิดตู้

ในที่สุด ผมอัดรูปนั้นเก็บไว้ และลบภาพในกล้องทิ้ง หวังว่าอาถรรพณ์ของมันจะหมดไป แต่ผมคิดผิดครับ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญยังคงมีอยู่ จนผมเอากล้องไปเก็บไว้ที่อื่น

คราวนี้เธอไม่ได้อยู่แค่ในตู้เสื้อผ้า แต่เพ่นพ่านไปทั่วบ้าน คนใช้ผมซึ่งตื่นแต่เช้ามืดยังเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งชุดแบบชาวบ้านเดินช้าๆ อยู่ที่นั่นที่นี่...ผมกลัวจริงๆ ถึงใส่บาตรทำบุญไปให้ เธอก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ

เมื่อหมดปัญญาแล้ว ผมก็เริ่มพูดกับเธออย่างจริงจัง...พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่าตามผมมาทำไม? ที่นี่เป็นบ้านของผม อย่ามารบ กวนดีกว่า กลับไปซะ!

ผมสงสารแม่และหลานๆ ที่ต้องกลัวผี ใครก็ไม่รู้ที่ผมพาเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว

ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง เรื่องสยองเรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่รู้สึกว่ามีผีแปลกหน้าอยู่ในบ้านอีกเลยนับแต่นั้น

แม่บอกว่าเป็นเพราะจิตของผมที่โกรธจนไม่กลัว และบอกผีอย่างจริงจังให้ไปซะ! เวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้ คุณลองใช้วิธีผมก็ได้ครับ ข้อสำคัญต้องจิตแข็ง...ได้ผลจริงๆ ครับ!


ขนหัวลุกบ้านผีเฮี้ยน


"ต๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม และผมจะไม่มีวันลืมแน่ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว!

บ้านผมอยู่ยานนาวา พ่อแม่ชอบพูดชมผมให้คนอื่นๆ ฟังเสมอว่าผมเป็นเด็กเอาถ่าน ได้เรื่องได้ราว เป็นธุระให้พ่อแม่ได้ทุกเรื่อง...แหม! ก็เด็กจบจากรามนี่ครับ ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นหัวหน้าลูกเสือ หัวหน้าห้อง พอเข้ามามหาวิทยาลัยอยู่ปีสองก็เป็นหัวหน้าชมรม นิสัยผมชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ

...และนี่เอง คือที่มาของคืนสยองคืนนั้น!

ลุงวีระ-เพื่อนของพ่ออยากได้คนไปนอนเฝ้าบ้านให้คืนหนึ่ง เพราะจะต้องไปทำธุระกับป้าน้อยที่ต่างจังหวัด ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย อยู่กันแค่สองคนตายาย ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

แหม! เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป บ้านของลุงวีระอยู่รังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยของผมพอดี ไม่ลำบากหรอก ผมจะไปเฝ้าบ้านให้หนึ่งวันกับหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นวันจันทร์ผมก็ไปเรียน ลุงวีระจะกลับมาราวๆ บ่าย ทุกอย่างลงล็อกพอดิบพอดีไม่มีปัญหา

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมสะพายเป้ไปถึงบ้านลุงวีระ และได้พบกันก่อนจะออกเดินทาง ป้าน้อยจัดห้องให้ผมนอนที่ชั้นบน เป็นห้องนอนเดิมของลูกสาวคนโตน่ะเอง

คุณป้าเตรียมของกินใส่ตู้เย็นไว้เพียบ ส่วนคุณลุงบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ดูทีวี ฟังเครื่องเสียง เล่นคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง...บ้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนักเพราะเป็นหมู่บ้าน แต่แปลกมากที่บ้านข้างๆ รอบๆ นั้นไม่มีคนอาศัย มันปิดไว้เฉยๆ บางหลังมีป้ายประกาศขาย บ้างก็มีประกาศให้เช่า...เป็นเพราะอย่างนี้กระมัง คุณลุงถึงต้องหาคนมาเฝ้าบ้านเพราะมันดูเปลี่ยวเอาการ...ขโมยขโจรคงจะชุมน่าดู!

ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง แต่ก็สบายเชียวละ ผมเอาเนื้อออกมาย่างกับเตาอเนกประสงค์ กินคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อย แล้วเอางานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้านมาทำ โดยใช้เน็ตของคุณลุง...พอตกกลางคืนกลายเป็นคนละเรื่องเลยครับ

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่อบอุ่นน่าสบายนั้นจางหายไปพร้อมๆ กับแสงตะวันละแวกบ้านลุงวีระ...คือรอบๆ ตัวผมมันช่างวังเวงเหมือนอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

งานของผมยังไม่เสร็จ ต้องค้นคว้าในเน็ตต่อไปอย่างมีสมาธิ แล้วพักกินมื้อเย็นราวๆ ทุ่มเศษ จากนั้นก็เปิดเน็ตทำงานต่อ

ราวสองทุ่มกว่า ผมได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนจำนวนมากคุยกันอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็เลยเปิดม่านดู...รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด จะสว่างเฉพาะแสงไฟถนนเท่านั้น แล้วเสียงพวกนั้นมาจากไหนนะ? ช่างเถอะ...อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้เข้านอน สักห้าทุ่มสองยามก็ยังดี

ยิ่งดึก ผมยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างวุ่นวายอยู่รอบๆ ตัว บางทีก็เหมือนมีใครมายืนมองนอกหน้าต่าง ตอนแรกยังผวา นึกว่าขโมยมันดอดเข้ามา...ผมชักกลัวแล้วนะ

สี่ทุ่มครึ่ง ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้านนี่เอง!

เมื่อเดินไปดูก็พบว่า บ้านหลังนั้นมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม...แต่แล้วผมก็เห็นสิ่งประหลาด...ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่มืดๆ นั้น ไม่ใช่ออกนอกประตูรั้วนะครับ แต่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองพอดี

เขาใส่เสื้อกล้ามขาวๆ ไฟถนนส่องให้เห็นว่าอายุราวสี่สิบกว่าๆ ร่างท้วม ผมบาง...เขายืนเหม่อลอย ถอนใจ...แล้วก็หันหน้ามาทางผม

คุณพระช่วย! เขามีท่าทางว่ามองเห็นผมด้วย นั่นไง! เขาโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างใจลอยยังไงไม่รู้...เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น!

จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงานแล้วครับ ผมเข้านอน ปิดม่านหน้าต่างหมด เปิดแอร์และเปิดไฟหัวเตียงไว้ รู้สึกหนาวเยือกๆ บอกไม่ถูก แว่วเสียงเหมือนผู้ชายร้องไห้จากบ้านข้างๆ น่าขนลุกชะมัด...คืนนั้นผมฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีปีศาจจนสะดุ้งผวา หลับๆ ตื่นๆ ไปทั้งคืน!

รุ่งขึ้นไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ถามว่าทำไมขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ผมเลยเล่าสิ่งที่พบมาให้ฟัง...

ไม่น่าเชื่อเลยครับ รุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พูดถึงชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา พอผมบอกว่าใช่ เขาก็เล่าว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เอง เมื่อหลายเดือนก่อนมีบ้านหลังหนึ่งจัดงานเลี้ยง แต่พอตกค่ำ เจ้าของบ้านก็ทะเลาะกับเมียแล้วผูกคอตายกลางดึกคืนนั้นเอง

ตั้งแต่นั้นผีก็ดุมาก คนข้างบ้านต่างกลัวผี หลายคนเห็นกับตาว่าคนที่ตายนั้นออกมายืนที่ระเบียง...หลายบ้านถึงกับย้ายหนี! ฟังแล้วเข่าอ่อนเลย...ถ้างั้นผมก็เจอเข้าแล้วเต็มๆ

ทุกวันนี้ผมยังมีนิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณลุงวีระขอให้ไปเฝ้าบ้านอีก ผมเห็นทีจะต้องปฏิเสธละครับ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย!

โดย ใบหนาด : ที่มา นสพ.ข่าวสด

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ผีนางตะเคียน ตำนานความเชื่อเรื่องนางตะเคียน

ผีนางตะเคียน ตำนานความเชื่อเรื่องนางตะเคียน

นางตะเคียน เป็นผีตามตำนานพื้นบ้านของไทย เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนบริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่ว ๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

ผู้คนที่มีความเชื่อเรื่องนี้ มักเชื่อว่าต้นตะเคียนมักมีผีนางตะเคียนสิงอยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็น

เรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น
ต้นตะเคียน ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และมีผีสิงอยู่ มักจะได้รับการเรียกชื่อว่า เจ้าพ่อ หรือ เจ้าแม่ตะเคียนนางตะเคียน เป็นผี ตามตำนานพื้นบ้านของไทย

ลักษณะ
นางตะเคียน เป็นผีผู้หญิง สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียน

บริเวณผืนป่าที่ผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่จะสะอาดสะอ้านเหมือนมีคนมาปัดกวาดอยู่เสมอๆ ก็คงเหมือนกับคนอยู่บ้านต้องออกมาปัดกวาดหน้าบ้านตัวเองให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

นางตะเคียนมักมีรูปร่างหน้าตาสะสวย หมดจดงดงาม ผมยาว ห่มสไบ ใส่ผ้าถุง บางที่ก็ว่าแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่าทั่วๆ ไป ผีนางตะเคียนมักจะเป็นจำพวกหวงที่อยู่ และจะดุร้ายมากหากใครคิดจะรุกรานที่อยู่ของตน

เนื่องจากต้นตะเคียน มีผีนางตะเคียนสิงสู่อยู่ การจะนำเอาต้นตะเคียนมาขุดเป็นเรือ (เรือสมัยก่อนใช้วิธีขุดขึ้นจากต้นไม้ทั้งต้น) หรือนำไม้ตะเคียนมาสร้างบ้าน จำเป็นจะต้องทำพิธีบวงสรวงขออนุญาตจากนางตะเคียนก่อน ทั้งนี้ เมื่อต้นตะเคียนที่ถูกนำมาแปรสภาพเป็นยานพาหนะ หรือสิ่งปลูกสร้างแล้ว นางตะเคียนที่สิงสถิตอยู่ในต้นตะเคียนนั้นก็จะเปลี่ยนแปลงสถานะตามไปด้วย เช่น ถ้าเป็นเรือ นางตะเคียนก็จะกลายเป็นแม่ย่านางเรือ เป็นต้น

"ตัดไม้มาปลูกบ้าน"

ถ้าพูดถึงเวรกรรมแล้ว ทุกคนคงเข้าใจดีว่า เมื่อเราเกิดมาย่อมหนีความตายไม่รอด แม้สรรพสิ่งใดก็ตาม ที่อยู่ในโลกนี้ ย่อมมีทั้งคนดี และชั่ว เรื่องนี้เป็นอาถรรพ์ ที่เกิดขึ้นจริง ในจ.น่าน ณ ที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสถานที่บูชาเจ้าแม่ตะเคียน ที่ผุดขึ้นมาจากเสาบ้านหลังที่ใหญ่โต ผู้เถ้าผู้แก่ เล่าลือกันมาว่า คนที่


ไปตัดไม้มาทำบ้านเรือน เพื่อเป็นที่อยู่ โดยเฉพาะบ้านไม้หลังใหญ่โต สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมนำความหายนะ มาสู่บ้านเรือน ไม่ว่าคนที่อาศัย ย่อมเจ็บเป็นป่วยไข้ และล้มหายตายจากไป
"ผีนางไม้ที่สถิตย์อยู่"

วิญญาณก็ต้องรอเวียนว่าย ตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด .....เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ลือกันมาว่า หลังจากบ้านแห่งนั้นปิดตายมานาน คนภายนอกที่มาพักอาศัย จากต่างถิ่น ก็เข้ามาเช่าอยู่

แต่ต้องตาย ทั้งที่ไม่ทราบสาเหตุ บ้างก็ลือกันว่า ผีมาเอาชีวิตไป เพื่อรอการไปผุดไปเกิด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครที่จะไปพักที่แห่งนั้น เพราะต่างหวาดผวา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางหมู่บ้านจึงทำพิธีสะเดาะเคราะห์ เพื่อเป็นความสิริมงคลแก่ชีวิต ..แต่ข้าพเจ้าเองคงคิดว่า เป็นผีนางไม้ที่สิงสถิตย์ อยู่ต้นตะเคียนที่บ้านแห่งนั้น..


ศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง

ศาลเจ้าแม่ตะเคียน มีเรื่องเล่ากันว่า อยู่คู่กับวัดหนองผักชีมาตั้งแต่สร้างวัดครั้งแรก สภาพภูมิประเทศของวัดหนองผักชีในสมัยก่อน เป็นทุ่งนา และป่าละเมาะ จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ในพื้นที่ เล่ากันว่า ในสมัยนั้นที่วัดจะเป็นป่า และข้างหลังศาลเจ้าแม่ตะเคียนจะมีคลองน้ำ ที่ใช้สัญจรไปมาของคนในยุคนั้น ไม่มีชาวบ้านกล้าเดินผ่านวัด เพราะว่าผีเฮี้ยนมาก

เจ้าแม่ตะเคียนนี้เฮี้ยนมาก(อาจเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่ศาลก็ได้) ได้เที่ยวหลอกหลอนคนที่ผ่านไปมา แต่ก็มีบางครั้นก็บันดาลโชคลาภแก่ผู้ที่มาเคารพสักการะอยู่เป็นประจำ มาถึงยุคหลวงพ่อสูงเป็นเจ้าอาวาส ท่านได้ดำเนินการสร้างศาลเจ้าแม่ตะเคียน

เจ้าแม่ตะเคียนก็ไม่ได้หลอกหลอนชาวบ้านอีกเลย มีแต่บันดาลโชคลาภแก่ผู้ที่มาเคารพ และบนบาน เชื่อกันว่าเจ้าแม่ตะเคียนให้หวยแม่น จึงมีผู้คนเดินทางมาทำบุญที่วัดหนองผักชีเป็นจำนวนมาก

ผีกะยักษ์

ลักษณะ : เหมือนคน รูปร่างสูงใหญ่ มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ มีฟันแหลมๆ ตาสีแดง เล็บยาวแหลม
อาหาร :

เรื่องเล่า : ผี กะยักษ์ เดิมคือพระ หรือผู้ที่มีคาถาอาคม แต่ชอบขโมยของวัด เมื่อตายแล้วจึงได้มาเฝ้าทรัพย์สินอยู่ที่วัดไม่ให้ใครเอาไปได้ ผีกะยักษ์จะมีนิสัยโหดร้าย จึงไม่ค่อยมีหมอผีและผู้มีคาถาอาคมไปยุ้งหรือไปทำให้ผี กะยักษ์อาคาด เพราะถ้าไปยุ้งเมื่อไร ไม่นานคนๆนั้นก็จะตาย
คนที่ดิฉันเคยรู้จัก เกือบจะโดนผีกะยักษ์เอาไปเป็นตัวตายตัวแทน เพราะช่วงนั้นอยู่ในช่วงสงกรานหรือปีใหม่เมือง (ปีใหม่เมือง คือ วันที่ 13 เมษายน ของทุกปีเป็นปีที่คนภาคเหนือถือว่าเป็นช่วงเปลี่ยนปีเก่า เป็นปีใหม่ เรียกง่ายๆคือเหมือนกับคนไทยที่ถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปีเป็นปีใหม่นั้นเอง) ในช่วงนี้ดวงวิญญาณส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนตัวตายตัวแทน เพื่อที่จะไปเกิดใหม่ ในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 หนู(นามสมมุติ)ได้ไปถือป้ายเดินขบวน ใส่ชุดไทยสีชมพู พอผ่านวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ผีกะยักษ์ก็ได้ตามหนูมาจนถึงที่บ้าน ไม้(นามสมมุติ)เป็นเพื่อนของหนูซึ่งมีคาถา และมีสัมพันธ์ที่ 5 เห็นหมอกสีดำอยู่ตรงหน้าบ้าน และมีเงาเป็นร่างคนสูงใหญ่ อยู่ 3 ตน จึงได้บอกให้หนูอย่าออกไปไหนให้อยู่แต่ในบ้าน พอวันที่ 2 เห็นหมอกสีดำ และเห็นเป็นร่างคนสูงใหญ่ สีผิวเข้ม ตาสีแดง มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ มีฟันแหลมๆ เล็บยาวแหลม เสื้อผ้าสีดำ ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน 3 ตน ไม้เห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบเตรียมสิ่งของไหว้ครู ทำพิธีป้องกันไม่ให้ผีกะยักษ์เอาชีวิตของหนูไปได้

และทำพิธีผลักของเข้าตนเอง เพื่อให้ผีกะยักษ์มาเอาชีวิตของตนเองไปแทน ในคือวันที่ 3 ไม้บอกให้หนูไปอยู่นอกห้องกับนิ่ม(เพื่อนอีกคน) และไม้ก็เข้าไปทำพิธีในห้อง พอตกดึกเสียงประตูเริ่มดัง ตึกๆ ตักๆ ไม้ตะโกนบอกว่าอย่าเปิด อย่าเปิดประตู และบอกให้หนูไปเรียก อาสัน (อาสัน เป็นร่างทรงและมีองค์คุ่มครองอยู่)ที่อยู่บ้านตรงข้ามให้รีบมาช่วยไม้ เพราะไม้ต้านอำนาจของผีกะยักษ์ไม่ไหวแล้ว อาสันจึงรีบมาช่วย โดยมีองค์มาประทับอยู่ในร่าง แล้วท่องคาถา และบอกกล่าวให้ผีกะยักษ์กลับไปเสีย ผีกะยักษ์สู้องค์ที่มาประทับอยู่ในร่างอาสันไม่ไหว จึงได้กลับไป สาเหตุที่ผีกะยักษ์จะเอาหนูเป็นตัวตายตัวแทน เพราะช่วงนั้นหนูดวงตก บวกกับไม่ค่อยชอบไปทำบุญ ผีกะยักษ์จึงอยากได้ไปเป็นตัวตายตัวแทน
* หมายเหตุ : เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ตอนที่ดิฉันได้ฟังนั้น ขนลุกไปหมด ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะค่ะ

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

ผีโพง

ผีโพง

ลักษณะ : เป็นคนที่โดนผีโพงเข้าสิง และจะเข้าสิงร่างนั้นตลอด คนที่โดนผีโพงสิงมักจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองโดนสิง ผีโพงนั้นจะมีรูปร่างเหมือนคนทุกประการ แต่มีแสงไฟออกจากจมูก จะมีอยู่สามสี คือ สีแดง สีม่วง และสีเขียว

อาหาร : ผีโพงจะชอบกินเมือกกบ เมือกเขียด แล้วก็คลายทิ้ง กบ เขียดนั้นก็จะตาย

เรื่องเล่า : คนในสมัยก่อนเล่าต่อๆกันมาว่า ก่อนออกไปหากิน ผีโพงจะเอาจมูกไปเสียดสีกับบันไดบ้านให้แดงก่อนออกไปหากิน พอใกล้สว่างก็จะกลับมาที่บ้านเหมือนเดิม คนที่มีคาถาอาคมสมัยก่อน ถ้าสงสัยว่าใครเป็นผีโพง ก็จะร่ายคาถา แล้วกลับบันไดบ้านของผีโพง เมื่อผีโพงกลับมาที่บ้าน ก็เห็นว่าบ้านเป็นของตนเอง แต่บันไดไม่ใช่ มันก็เดินวนเวียนอยู่หน้าบ้าน เข้าบ้านไม่ได้ จนรุ่งเช้า มีคนมาพบเห็นเข้าก็จะรู้ว่าคนๆนั้นเป็นผีโพง คนที่เป็นผีโพงก็จะอับอาย หรืออาจหลบหนี้ไปอยู่ที่อื่น แต่ถ้าผีโพงรู้ว่าใครแกล้งมัน มันก็จะอาฆาตแค้นเมื่อคนที่ร้ายมัน พลังอ่อนลง มันก็จะกลับมาแก้แค้น โดยเอาก้านกล้วยแม่หม้ายพุ่งข้ามหลังคา

ผีโพง จะเป็นตอนกลางคืน ช่วงที่ชาวบ้านพบเห็นบ่อย จะอยู่ในช่วงฤดูฝน ช่วงตอนฝนตก มักจะเห็นแสงสว่างสีแดง ม่วง เขียว ที่จะสว่างแถวกลางทุ่งนาแล้วดับ แล้วก็ไปสว่างแล้วดับอีก ไปเรื่อยๆ บางก็เล่าว่าจะมีแสงไฟตกจากจมูก เหมือนหยดน้ำด้วย ถ้ามีคนตามรอยผีโพงไป ก็จะเจอกับ กบ เขียด ที่จะนอนตายตัวแข็งตามท้องนา ถ้าหากว่าคนไปเจอกับผีโพงเข้า แล้วเห็นว่าผีโพงนั้นเป็นใคร ผีโพงมักจะบอกว่า “มันเป็นวิบากกรรมของมัน ที่ต้องมาชดใช้กรรมแบบนี้” และอ้อนวอนอย่าให้บอกใคร ผีโพงก็จะเสก ใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ (ถ่านมี่ คือถ่านสีดำ ที่ใช้ก่อกองไฟในครัว) ให้กล้ายเป็นทองคำ แล้วเอาจ้างคนที่พบเห็น เพื่อที่จะไม่ให้บอกใคร ถ้าไม่รับปาก หรือไม่รับทองคำนั้นมา ผีโพงก็จะทำร้าย หรือทำให้เรากลายเป็นผีโพงเหมือนมัน หรือใต้ถุนบ้าน ทำให้คนที่อยู่ในบ้านเจ็บป่วย หรือตายหมดทั้งบ้าน
เมื่อรับทองคำนั้นมาแล้ว ตอนเช้าทองคำนั้นก็จะกลายเป็นใบไม้ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือถ่านมี่ เหมือนเดิม คนที่พบเห็นจะต้องเก็บนี้เป็นความลับ แต่ถ้าจะบอกกับผู้อื่นก็ห้ามพูดชื่อ ว่าใครเป็นผีโพง ถ้าเกิดพูดชื่อออกไป ผีโพงจะมีญาณรับรู้ได้ทันทีว่าเราเอาความลับของมันไปบอกคนอื่น มันก็จะตามมาทำร้ายเราที่บ้าน โดยใช้ ก้านกล้วยแม่หม้าย (ก้านกล้วยแม่หม้าย คือก้านกล้วยที่เอาใบตองออกแล้ว เหลือใบตองส่วนปลายไว้นิดหน่อย) พุ่งข้ามหลังคา หรือใต้ถุนบ้าน

ฉะนั้นในคนสมัยก่อนมักจะบอกให้เราฟันก้านกล้วย ออกสอง 2 ท่อน หรือหลายๆท่อน เพื่อที่จะไม่ให้ผีโพงนั้นนำไปใช้ได้อีก

ชาวบ้านพบเห็นผีโพงครั้งสุดท้ายในช่วงปี พ.ศ. 2514 หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นอีก

แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบนแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่




ผีโพง เป็นผีประเภทเดียวกับผีกระสือ เป็นผีพื้นบ้านทางภาคเหนือ ผีโพงเกิดจากว่านชนิดหนึ่ง เรียกว่าว่านผีโพง ซึ่งมีสีขาว รสฉุนร้อน เมื่อแก่จะมีธาตุปรอทลงกิน ทำให้เกิดแสงส่องสว่างแบบแมงคาเรือง

เมื่อจะออกหากิน ผีโพงจะออกไปในรูปลักษณ์รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเจ้าของว่าน ไม่ได้ถอดหัวกับไส้เหมือนกระสือ มาในรูปร่างกายมนุษย์ทุกอย่าง แต่จะมีดวงไฟเล็กๆ สว่างเรืองๆ อยู่ที่ปลายจมูก และหยดลงเป็นหยดๆ เหมือนหยดน้ำ ฝีโพงจะออกหากินตามหนองน้ำ หรือทุ่งนาหลังฝนตก อาหารของผีโพงคือกบ และเขียด ซึ่งผีโพงจะกินด้วยการจับมาดูดเอาเมือกกินทีละตัวๆ

โดยปกติ ผีโพงจะกลัวคน และหลบหน้าคน ไม่ยอมให้ใครมาเห็น หรือจำได้ว่าตนเป็นใคร หากมีคนบังเอิญมาพบ คนผู้นั้นไม่ได้ทำอันตราย หรือวิ่งหนีไป ผีชนิดนี้จะเข้ามาเจรจา บ้างก็เสกก้อนหินเป็นเหรียญ เสกใบไม้เป็นธนบัตร แล้วเอามาให้คนๆนั้น แล้วบอกว่าอย่าบอกให้ใครรู้ว่าตนเองเป็นใคร แต่กลับไปบ้านของพวกนั้นจะกลายเป็นสภาพตามเดิม แต่ถ้าหากใครทำให้เจ็บใจ หรือนำเรื่องไปบอกชาวบ้านว่าตนเป็นใคร ผีโพงจะเอาคานของแม่ม่ายพุ่งข้ามหลังคาบ้าน แล้วในทีสุด คนคนนั้นก็จะพบกับความพินาศวอดวาย หรือไม่งั้น ก็จะนำเอาก้านกล้วยที่ถูกตัดเอาใบออกไปหมดแล้ว พุ่งข้ามหลังคาบ้าน คนภาคเหนือสมัยก่อนเมื่อตัดใบกล้วยนำไปใช้แล้วจึงมักจะสับก้านกล้วยให้เป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปทิ้ง หรือไม่งั้นก็จะถ่มน้ำลาย ใส่ในหม้อน้ำดื่ม บ้านคนที่เห็นหน้าตนและนำไปบอกคนอื่น หรือทำร้ายตนเอง เพื่อให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นพีโพงต่อไป

หากมีคนทราบว่าตนเป็นใคร จะอยู่ได้ไม่เกินสามวัน จะมีตุ่มน้ำหนองพุพองทั่วร่างกาย แล้วสิ้นใจไปที่สุด


ผีโพง ชอบกินของสดของคาว เช่น คาวจากปลาสด แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ คาวจากเขียด ผีโพงจะอยู่ในเรือนของคนที่เป็นร่างสื่อ เมื่อจะออกหากินจะเข้าสิงคนที่เป็นร่างสื่อแล้วบังคับให้ออกหากิน ส่วนมากจะออกหากินในเวลากลางคืน มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า หากอยากรู้ว่าผู้ใดเป็นร่างสื่อของผีโพง ให้สังเกตดูที่ปลายจมูกของบุคคลนั้น ถ้ามองดูห่างๆ จะเห็นเป็นสีแดงมากกว่าคนทั่วไป ถ้าดูใกล้ๆ จะเห็นมีเส้นเลือดแดงขวักไขว่ ถ้าร่างสื่อเป็นหญิงนอกจากปลายจมูกจะแดงแล้ว ปลายผมยังแห้งงออีกด้วย

ถ้าวัดมีงาน ผู้ดูแลหอศาลจะเป็นคนนำพานข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนไปบอกกล่าวให้ผีเสื้อวัดได้รับรู้ เพื่อขอให้ช่วยดูแลงานให้เรียบร้อย ไม่ให้เกิดเรื่องร้าย หรืออย่าให้มีอุปสรรคใดๆ ระหว่างที่วัดมีงาน เช่น งานปอยหลวง (งานฉลอง) จะกี่วันก็ตาม ผู้ดูแลจะเป็นผู้จัดสำรับอาหารคาวหวานจากวัดไปถวายโดยตั้งไว้บนหอศาลทุกวัน

ผีโพงจะออกหากินในเวลากลางคืน ถ้าเป็นฤดูฝนโอกาสดีจะออกหากินบ่อย ส่วนมากจะเป็นคืนข้างแรมหรือคืนเดือนมืด เวลาประมาณหลังเที่ยงคืนไปแล้ว เมื่อชาวบ้าน และคนในครอบครัวนอนหลับกันหมดแล้ว ผีโพงจะเข้าสิงร่างสื่อแล้วบังคับให้ลงจากเรือน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกตัวบ้าง ไม่รู้สึกตัวบ้าง เมื่อลงไปข้างล่างจะเอาจมูกถูกับเสาเรือนเพื่อให้เกิดพลังแสงก่อนแล้วจึงเดินออกไปกลางทุ่งนา ที่ปลายจมูกจะมีแสงสีแดงลักษณะคล้ายไฟน้ำตกสาดแสงออกมาเพื่อส่องหาเขียด เมื่อพบเขียดจะจับขึ้นมาจูบกินคาว เมื่อคาวหมดก็จะทิ้งไปแล้วหาตัวใหม่ต่อ จับไปจูบไปจนกว่าจะอิ่ม ใช้เวลาคืนหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าคืนไหนไม่มีสิ่งรบกวนจะใช้เวลาหากิน 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงกลับขึ้นเรือนและเข้านอน โดยคนที่เป็นร่างสื่อจะรู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่นคล้ายฝันไป มีคนเล่าว่าเวลาเช้ามืดถ้าออกไปสำรวจดูบริเวณที่เราเห็นแสงของผีโพงในคืนที่ผ่านมา จะเห็นเขียดนอนตายตามคันนาเป็นระยะๆ ในลักษณะตัวเหยียดยาว



คนที่มีเรือนใกล้กับเรือนของคนที่เป็นผีโพงเล่าให้ฟังว่า ได้เคยแอบดูพฤติกรรมของคนที่เป็นผีโพงมาโดยตลอด จึงได้ทดลองวิธีการแกล้งผีโพงตามที่คนโบราณบอกไว้ว่า คืนไหนที่มีฝนตกปรอยๆ เขาจะแอบดูตั้งแต่คนที่เป็นร่างสื่อลงจากเรือนไปที่ทุ่งนา เขาจึงไปยกบันไดเรือนของคนที่เป็นผีโพง กลับเอาข้างล่างขึ้นข้างบน หรือสับเปลี่ยนบันไดกับเรือนอื่นที่อยู่ใกล้กัน (การยกบันไดสมัยโบราณไม่ยาก เพราะบันไดทำด้วยไม้ไผ่ และมีขั้นบันได้ 3-5 ขั้นเท่านั้น จึงมีน้ำหนักเบา ยกย้ายได้ง่าย) เมื่อผีโพงกลับจากการหากินจะขึ้นเรือนไม่ได้ เพราะเห็นว่าตัวเรือนเป็นของร่างสื่อแต่บันไดไม่ใช่ เมื่อตามไปดูบันไดเรือนที่อยู่ใกล้กัน เห็นว่าบันไดใช่ แต่ตัวเรือนไม่ใช่ ร่างสื่อของผีโพงจึงไม่กล้าขึ้นเรือน จะอยู่ใต้ถุนเรือนรอจนถึงเช้า เมื่อสว่างแล้วจึงทำทีถือไม้กวาด กวาดตามลานบ้าน เพื่อกลบเกลื่อนไม่ให้คนในครอบครัวรู้ แต่การแกล้งผีโพงต้องระวังตัวให้ดี เพราะผีโพงจะอาฆาตจองเวร

ครอบครัวใดที่มีสมาชิกในครัวเรือนเป็นผีโพง คนในครอบครัวเดียวกันจะไม่ค่อยรู้ เล่ากันว่าก่อนที่ผีโพงออกหากิน จะสะกดจิตทุกคนในครอบครัวให้หลับเป็นตาย (หลับสนิท) จนกว่าผีโพงจะกลับเรือน คนที่รู้เห็นจึงเป็นคนนอกครอบครัวนั้น

ในระหว่างที่ผีโพงกำลังออกหากินเขียด ถ้ามีใครที่ไปหาปลาพบเห็นเข้า ท่านห้ามเข้าไปใกล้ หรือถ้าเห็นหน้าและรู้จักคนที่เป็นร่างสื่อของผีโพง ก็อย่าได้ทักหรือเรียกชื่อเขา ให้หลีกไปเสีย เพราะอาจจะถูกผีโพงทำร้ายเอาได้ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า มีคนหาปลาไปพบผีโพงในระยะใกล้จนเห็นหน้าและรู้ว่าเป็นใคร ผีโพงนั้นได้เข้ามาขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร โดยขอร้องอย่าได้บอกให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นผีโพง พร้อมกับควักสิ่งของที่ติดตัวไป เช่น แหวน เป็นต้น ให้แก่คนที่ไปพบ เพื่อเป็นค่าจ้างไม่ให้ไปบอกคนอื่น

ถ้าใครทำให้ผีโพงโกรธ เพราะรู้ความลับของเขาแล้วไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง หรือเข้าไปทักชื่อของร่างสื่อที่กำลังออกหากิน ผีจะอาฆาตและจองเวร โดยผีโพงจะใช้ก้านของใบกล้วย ที่มีคนฉีกเอาใบออกแล้วทิ้งก้านไว้ตามสวน พุ่งข้ามหลังคาเรือนของคนที่ผีโพงโกรธ หลังจากนั้นไม่นานคนนั้นจะมีอาการเหงาซึม ร่างกายซูบผอม และตายในที่สุด ด้วยเหตุนี้คนแต่ก่อน หรือแม้แต่คนในปัจจุบันตามชนบท เมื่อฉีกใบกล้วยออกจากก้านแล้ว จึงตัดให้เป็นท่อนๆ ก่อนจะทิ้ง จะไม่ทิ้งไว้ทั้งก้านอย่างนั้น เพราะกลัวว่าผีโพงจะนำไปใช้พุ่งข้ามหลังคาเรือน บางท้องถิ่นเชื่อว่าถ้าผีโพงโกรธใคร จะใช้ไม้คานพุ่งข้ามหลังคาเรือน คนที่เป็นศัตรูของผีโพงที่อยู่ในเรือนนั้น จะไม่สบายและสุดท้ายก็จะตาย